Saverin อยู่กับเฟซบุ๊กปีเดียว แต่มีทรัพย์สิน 6 แสนล้าน /โดย ลงทุนแมน
Mark Zuckerberg เริ่มก่อตั้ง Facebook ในปี 2004 ร่วมกับเพื่อนอีก 4 คน
หนึ่งในนั้นคือรุ่นพี่ที่ชื่อว่า “Eduardo Saverin”
Saverin คือเพื่อนคนแรกที่ Zuckerberg ชวนมาร่วมทีมและเขาคนนี้ยังเป็นคนแรกที่ร่วมลงทุนใน Facebook
แต่ผ่านไปเพียงปีเดียว กลับมีเรื่องราวที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งที่ต้องออกจากบริษัทไปเป็นคนแรกเช่นกัน
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Saverin ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
“Eduardo Saverin” เกิดที่เมืองเซาเปาลู ประเทศบราซิล ในปี 1982 ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่เมืองรีโอเดจาเนโร
เขาเกิดมาในครอบครัวชาวยิวที่ร่ำรวย โดยพ่อของเขาเป็นนักธุรกิจ ที่เป็นเจ้าของกิจการทั้งการส่งออก เรือขนส่ง ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์
แต่ความมั่งคั่งนี้ ก็เป็นที่ล่อตาล่อใจของแก๊งมาเฟีย ทำให้เมื่อปี 1993 Saverin ในวัย 11 ปี มีชื่ออยู่ในลิสต์เหยื่อที่จะโดนแก๊งลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่
โชคดีที่พ่อของเขาไหวตัวทัน เขาจึงพาครอบครัวอพยพไปตั้งต้นชีวิตในที่ที่ปลอดภัยกว่า อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา จน Saverin ได้สัญชาติอเมริกันในปี 1998
หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษา Saverin เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
เขาโดดเด่นเรื่องการลงทุนเป็นพิเศษ ทั้งการได้เป็นประธาน Harvard Investment Association และยังเป็นที่เลื่องลือจากการทำกำไรเป็นเงิน 3 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10 ล้านบาท จากการลงทุนในฟิวเจอร์สน้ำมัน
ปี 2003 ขณะที่ Saverin เรียนอยู่ปี 3 รูมเมตรุ่นน้องของเขาที่ชื่อ “Mark Zuckerberg” กำลังพัฒนา TheFacebook.com หรือที่เรารู้จักกันก็คือ Facebook ในปัจจุบัน
เวลานั้น Zuckerberg กำลังมองหาพาร์ตเนอร์มาร่วมทีม ซึ่งเขามองหาคนที่มีเงินทุนและเก่งในด้านที่เขาไม่ถนัด นั่นคือการลงทุนและการทำธุรกิจ ซึ่ง Saverin ก็เรียกได้ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ Zuckerberg ต้องการ นั่นจึงทำให้เขาถูกชวนมาเป็นพาร์ตเนอร์คนแรก
พวกเขาตกลงว่าจะร่วมทุนกันคนละ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 แสนบาทและแบ่งหน้าที่กัน โดย Zuckerberg โฟกัสการพัฒนาเซิร์ฟเวอร์ ส่วน Saverin รับผิดชอบด้านการเงินและธุรกิจ
จนในที่สุด TheFacebook.com ก็ได้เปิดตัวในช่วงต้นปี 2004 และได้รับความนิยมไปทั่วมหาวิทยาลัยทันที โดยมีผู้สมัครใช้งานกว่า 4 พันคนภายใน 2 สัปดาห์แรก
พวกเขาเลยชวนรูมเมตอีกคนที่ชื่อ Dustin Moskovitz มาร่วมทีม ซึ่งรับหน้าที่เป็นโปรแกรมเมอร์ และหลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนอีก 2 คนมาร่วมทีม
เดือนเมษายน หรือหลังเปิดตัวเว็บไซต์ไปได้ 2 เดือน TheFacebook ก็จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด
โดยมีผู้ถือหุ้นคือ Zuckerberg ถือหุ้น 65%, Saverin ถือหุ้น 30% และ Moskovitz ถือหุ้น 5%
มาถึงช่วงปิดเทอมหน้าร้อนในเดือนมิถุนายน Zuckerberg กับ Moskovitz เดินทางไปที่เมืองพาโล อัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของซิลิคอนแวลลีย์ เพื่อเช่าบ้านและโฟกัสกับการพัฒนา TheFacebook.com
ส่วน Saverin เลือกไปฝึกงานกับสถาบันการเงิน Lehman Brothers ที่นิวยอร์ก และ Zuckerberg ได้แบ่งความรับผิดชอบให้เขา 3 อย่าง คือ วางโครงสร้างบริษัท ทำโมเดลธุรกิจ และที่สำคัญคือหาเงินทุน
แต่การเลือกเส้นทางที่แตกต่างกันในครั้งนี้ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าว
สิ่งที่ Saverin ให้ความสำคัญมากที่สุดในเวลานั้น คือการฝึกงาน
เขาจึงละเลยสิ่งที่ Zuckerberg ฝากให้เขาจัดการทั้ง 3 ข้อ
ทั้งที่ Zuckerberg และคนอื่นในทีม ทุ่มเทกับการต่อยอด TheFacebook.com ซึ่งในตอนนั้นมีจำนวนผู้ใช้งานเติบโตอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่มีใครคาดคิด ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือการหาเงินทุน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ Saverin มาตั้งแต่ต้น
แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่รับหน้าที่ในการหานักลงทุนก็คือ Sean Parker ไอดอลแห่งวงการเทคโนโลยี ผู้ก่อตั้ง Napster แพลตฟอร์มแชร์และดาวน์โหลดเพลงออนไลน์ ที่เป็นต้นแบบของ iTunes
ก่อนหน้านี้ไม่นาน Parker ได้รู้จัก TheFacebook.com และรู้สึกสนใจ จึงติดต่อ Zuckerberg เพื่อมาร่วมทีมด้วย
ซึ่ง Parker สามารถโน้มน้าวให้ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal มาลงทุนใน TheFacebook.com ได้สำเร็จ เป็นเงิน 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 16.6 ล้านบาท
นอกจากนี้ Parker ซึ่งมีประสบการณ์ธุรกิจมาก่อน จึงกลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของ Zuckerberg และยังมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ทุกอย่างที่ Saverin ละเลย
มาถึงตรงนี้ Saverin ที่ให้ความสำคัญกับ TheFacebook.com น้อยกว่าคนอื่น ก็หมดความจำเป็น Zuckerberg เลยคิดจะตัดเขาออกจากทีม แต่ก็ติดปัญหาตรงที่เขาไม่รู้จะใช้วิธีไหน
เพราะ Saverin เป็นทั้งผู้ร่วมก่อตั้งและที่สำคัญคือเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท
Parker เลยแนะนำวิธีหนึ่งให้กับ Zuckerberg ซึ่งเป็นทริกที่ Thiel เคยใช้และเรียนรู้ต่อมาจากนักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่ง
วิธีการนั้นก็คือ การลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทของ Saverin ลง ด้วยการตั้งบริษัทใหม่ เพื่อมาซื้อบริษัทเดิม หลังจากนั้นก็ออกหุ้นเพิ่ม และจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้กับทุกคน ยกเว้น Saverin
Zuckerberg ได้ลองอธิบายแผนการนี้ผ่านทางอีเมลเพื่อขอคำปรึกษาจากนักกฎหมายของเขา ซึ่งนักกฎหมายก็เตือนว่าอาจจะเกิดการฟ้องร้องตามมาได้ แต่สุดท้ายแผนการนี้ก็ยังดำเนินต่อไป
ขั้นตอนแรกเริ่มขึ้นในปลายเดือนกรกฎาคม ทีม Zuckerberg จัดตั้งบริษัทใหม่และใช้บริษัทใหม่นี้ไปซื้อบริษัทเดิม ซึ่งสัดส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทใหม่ จะถูกจัดสรรโดยรวมผู้ลงทุนอย่าง Thiel เข้าไปด้วย ดังนี้
Zuckerberg ถือหุ้น 40%
Saverin ถือหุ้น 24%
Moskovitz ถือหุ้น 16%
และ Thiel ถือหุ้น 9%
ส่วนอีก 11% ที่เหลือ เก็บไว้เผื่อแจกเป็นอ็อปชันให้กับผู้ร่วมทีมในอนาคต
ขั้นตอนนี้ ทำให้สัดส่วนหุ้นของ Saverin ลดลงจากเดิม 30% มาเป็น 24%
หลังจากนั้น ทาง Zuckerberg ก็ได้ให้ Saverin เซ็นชื่อในข้อตกลงจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่นี้ในเดือนตุลาคม โดย Saverin ตกลงให้ทรัพย์สินทางปัญญาทุกอย่างของบริษัท รวมถึงสิทธิ์ในการออกเสียงในบริษัท ที่เคยเป็นส่วนของเขา โอนมาเป็นของ Zuckerberg แทน
และเมื่อปิดเทอมหน้าร้อนสิ้นสุด ความสำเร็จเกินคาดของ TheFacebook.com ก็ทำให้ Zuckerberg และ Moskovitz ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยและอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อ ขณะที่ Saverin กลับมาเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดในปีสุดท้าย
ต่อมา ในต้นเดือนมกราคม ปี 2005 บริษัท Facebook ก็ได้ออกหุ้นสามัญเพิ่ม 9 ล้านหุ้น โดยถูกจัดสรรเป็นของ Zuckerberg 3.3 ล้านหุ้น Parker และ Moskovitz ได้ไปคนละ 2 ล้านหุ้น ส่วน Saverin ไม่ได้อะไรเลย
ขั้นตอนนี้ ทำให้สัดส่วนหุ้นของ Saverin ลดลงจาก 24% จนเหลือไม่ถึง 10%
Saverin ผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยก็เพิ่งมารับรู้ถึงวิธีที่เขาโดนลดสัดส่วนการถือหุ้นหลังผ่านไปเกือบ 4 เดือน
ซึ่งในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เขาก็ต้องออกจากบริษัทและถูกลบชื่อออกจากผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท
ความขัดแย้งนี้ก็นำไปสู่การฟ้องร้อง ตามที่นักกฎหมายของ Zuckerberg เคยเตือนไว้
Zuckerberg ยื่นฟ้อง Saverin โดยอ้างว่า Saverin ทำให้บริษัทเสียหาย จากการระงับบัญชีธนาคารของบริษัทเมื่อช่วงปิดเทอมหน้าร้อน รวมถึงอ้างว่าข้อตกลงเรื่องการจัดสรรหุ้นตอนจัดตั้งบริษัทใหม่ไม่มีผลบังคับใช้
Saverin ฟ้อง Zuckerberg กลับ โดยอ้างว่าในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน Zuckerberg นำเงินทุนของบริษัทในตอนแรก ซึ่งเป็นส่วนที่เขาร่วมลงทุนด้วย ไปใช้กับเรื่องส่วนตัว และอีกข้อหาคือเรื่องที่เขาถูกบังคับให้ออกจากบริษัท
แต่สุดท้ายแล้ว ในปี 2009 ทั้งสองฝ่ายก็มาทำความตกลงกันนอกศาล ซึ่งจบที่การยอมความ
และชื่อของ Saverin ก็กลับมาอยู่ในผู้ร่วมก่อตั้งเหมือนเดิม
ตั้งแต่นั้นมา Saverin ก็ย้ายไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์
และได้เปลี่ยนสัญชาติจากอเมริกันเป็นสิงคโปร์ ในปี 2011
ซึ่งนอกจากจะแต่งงานและสร้างครอบครัวที่สิงคโปร์แล้ว ในปี 2015 Saverin ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Venture Capital ที่ชื่อ “B Capital” กับเพื่อนสมัยเรียนฮาร์วาร์ดที่ชื่อ Raj Ganguly ซึ่งเคยทำงานในบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลกอย่าง McKinsey & Company และ Boston Consulting Group
โดย B Capital จะเน้นให้เงินทุนกับสตาร์ตอัปในเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย อย่างเช่นบริษัทจากอินเดียที่ชื่อ BYJU’S ซึ่งปัจจุบันเป็นสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีการศึกษาที่มูลค่ามากสุดในโลก
แต่เรื่องการเปลี่ยนสัญชาตินี้ก็ได้ทำให้เขาถูกวิจารณ์ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน Facebook ก็เตรียม IPO ในปี 2012 Saverin จึงถูกมองว่าเขาสละสัญชาติอเมริกันเพราะต้องการเลี่ยงภาษีกำไรจากเงินลงทุน
เพราะแม้ว่าการระดมทุนในตลาดหุ้นของ Facebook จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้น Facebook ของเขาลดลงเหลือเพียง 2% ก็คิดเป็นมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าเขาขายทำกำไร เขาจะถูกคิดภาษีกำไรจากเงินลงทุนราว 2 หมื่นล้านบาท
แต่ Saverin ก็ยืนยันว่าเขาตั้งใจจะทำงานและใช้ชีวิตที่สิงคโปร์มาตั้งแต่แรกจริง ๆ
และจากตอน IPO ปี 2012 มาถึงวันนี้ ปี 2021 Saverin ก็ไม่ได้ขายหุ้น Facebook เพื่อทำกำไร ในทางกลับกันเขากลับซื้อเพิ่มอีกเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ปี 2012 Saverin มีหุ้น Facebook 53.13 ล้านหุ้น
ปี 2021 Saverin มีหุ้น Facebook 53.46 ล้านหุ้น
ปัจจุบัน Saverin ในวัย 39 ปี ได้กลายเป็นชาวบราซิลที่รวยสุดในโลก และเป็นคนที่รวยสุดเป็นอันดับ 2 ในสิงคโปร์ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 6.5 แสนล้านบาท ซึ่งความมั่งคั่งเกือบทั้งหมดมาจากการที่เขายังถือหุ้น Facebook โดยที่ยังไม่ได้ขายออกไป
โดยถ้าคิดจากราคา IPO ของ Facebook ที่ 38 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ปัจจุบันราคาหุ้น Facebook อยู่ที่ 355 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
ซึ่งมูลค่าหุ้นที่ Severin ถืออยู่ตอน IPO ปี 2012 ที่กว่า 6 หมื่นล้านบาท ตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นกลายเป็น 6.2 แสนล้านบาทแล้ว
ที่น่าสนใจคือ 6.2 แสนล้านบาทนี้มีจุดเริ่มต้นจากเงินลงทุนหลักแสน
และเขาใช้เวลาอยู่ในบริษัท Facebook เพียงปีเดียว โดยแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
สิ่งที่เขาทำหลังจากนั้น เป็นเพียงการถือหุ้น Facebook ที่มีอยู่ไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.com/how-mark-zuckerberg-booted-his-co-founder-out-of-the-company-2012-5
-https://www.businessinsider.com/goodbye-america-billionaire-facebook-cofounder-renounces-citizenship-2012-5
-https://www.forbes.com/sites/alexkonrad/2019/03/19/life-after-facebook--the-untold-story-of-billionaire-eduardo-saverins-highly-networked-venture-firm/?sh=21f9b3462c8c
-https://www.forbes.com/sites/briansolomon/2012/05/18/eduardo-saverins-net-worth-publicly-revealed-more-than-2-billion-in-facebook-alone/?sh=47dee32a32ac
-https://www.rollingstone.com/culture/culture-news/the-battle-for-facebook-242989/
-https://www.dailymail.co.uk/news/article-2143764/Facebook-founder-Eduardo-Saverin-risk-kidnapping-moving-US.html
-https://www.forbes.com/profile/eduardo-saverin/?sh=dbbbb3b7bd56
-https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/1326801/000132680121000022/facebook2021definitiveprox.htm
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過8萬的網紅Yusuke's Tech Room,也在其Youtube影片中提到,本日のスポンサー:EVERPROOF チェックしてみてくださーい! https://amzn.to/37bBp39 ーーーーーーーーーーーーー さて今日はThe Information/Mac Rumors/Bloombergからの情報ですが、どうやらアップルはARグラスだけではなくてVRヘッドセ...
mckinsey news 在 Facebook 的最讚貼文
[分久必合,合久必分]FC咗,唔係fake news.國泰而家又話統一返Asia Miles同埋波羅會喎,變返國泰品牌。嘻
經濟原文:國泰航空以「國泰」品牌 整合馬可孛羅會及Asia miles儲分(https://bityl.co/7gIA )
TLDR:「屌,啲濕鳩高層拎一千幾百萬人工就係諗啲咁嘅戇鳩嘢」。
==============
月頭訂最抵!2021比別人知得多。subscribe now(https://bityl.co/4Y0h)。Ivan Patreon,港美市場評點,專題號外,每日一圖,好文推介。每星期6篇,月費100,已經1700人訂! 畀年費仲有85折
==============
1. 對不起,成件事真係so MBA so consultant so BCG so McKinsey。當然你可以質疑我入唔到先萄葡人地,但,我係咪要踢波叻過美斯先可以批評佢?
2. 真的,雖然呢,三軍易得一將難求,一個好嘅CEO,抵得住N咁多個員工(我講上市公司,唔係球隊)。你睇好多例子都見到,MicroSoft又好,麥當勞又好,產品好似都係嗰啲,一早有第一代打落江山,但唔同CEO之下,股價就係天淵之別。你話同大市有關?錯,已經計埋相對於指數嘅表現。咁你話「嗰期興炒乜乜股」?可能係,但,你個CEO可以做到嗰期興炒乜乜股,當然都係實力。
3. 咁而量度CEO,當然係講股價(嚴格嚟講係shareholder wealth,可以計埋派息之類)。我地唔係講發明家,Nikola Tesla都唔係 上市公司CEO(不過個名就成就後人整兩間公司,對公司名嘅貢獻,僅次於辛棄疾(*))。Steve Job一早已經係怪傑,但一樣畀人踢走,因為公司股價唔掂。
4. 咁以此標準啦喎,國泰嘅CEO,就似乎並唔係十分非常之出色啦。當然亦係航空業本身先天嘅問題。
5. 講咗咁多,無非想講,真係難怪有時啲網友覺得:「屌,啲濕鳩高層拎一千幾百萬人工就係諗啲咁嘅戇鳩嘢」。
6. 或者我畀個加強版你:「屌,啲濕鳩高層拎一千幾百萬人工,就係拎埋公司啲錢員工啲錢股東啲錢客啲錢,然後圍埋班以前識讀嘅external consultant,諗啲咁嘅戇鳩嘢」。
7. 真的,乾收銀嘅嘢,「其實唔難」,narrative之嘛,同埋包裝。冇錯,「你都諗到」。即係小米個logo咁。但,人地著套靚西裝 著條貼身裙 講香港人最鍾意飛機嘅英式美式口音,整個靚靚嘅PowerPoint,左一句ESG,右一句Disruption,就係唔同咯。況且,「其實可能管理層都知戇鳩」,但有乜所謂。
8. 我教你一樣嘢,企業世界,最美麗嘅三個字。唔係I love you唔係MBA 更加唔係ESG。所有做金融嘅都知嘅三個字:OPM(你唔知?咁努力啲,同埋而家咪知,證明我啲文幾有用)。是甚麼?Other People’s Money.由頭到尾都係principal-agent problem—又多一個buzz word,又可以叫做切夫之痛(****),Skin in the game.或者我講嘅:Nicole Kidman 昆咗Meg Ryan去剝衫—劇本咁好,你唔自己剝?「哦我要離婚」「用對波離?」
9. 你睇,其實唔難。正如我成日都講嘅教波必勝法,前鋒入多啲波 後防唔好失波 ,有幾難?
10. 真的,你間公司只做本業嘅,nonono,紅海呀,消費者已經疲勞,何不leverage up,利用公司嘅品牌再踩入其他嘢,即係霸王賣賣下洗頭水都賣埋涼茶同M巾啦!(是真的!我有飲過!當然係涼茶,唔係飲洗頭水或M巾)
11. 到你公司多品牌嘅,nonono,消費者好confuse呀,應該集中返資源。
12. 屌,咪而家國泰做嘅嘢咯。神又係你鬼又係你。不幸地唔少管理層都係咁,冇嗰樣咪搞嗰樣。人地全部做乜乜乜呀?哦,我地又要做。到唔掂啦,新管理層上場?哦,人地個個都乜乜乜,我地冇自己特色,唔好再乜乜乜
13. And you know the beauty?根本畀人炒咗嗰班管理層,去到另一間公司,又係玩一樣嘅嘢。正如新嚟呢班,又係畀另一間公司踢出嚟嘅。
14. And you know what’s beatifuler?就係,好可能係同一堆consultant 嘅。所以夫斯基也像你早優生更像你,修夫基也是你史科沙也是你。神又係你鬼又係你。
15. 最後呢個故事,大家都聽過:
有一個企管顧問開車到鄉下去休假,路上遇到一位牧羊人正趕著羊群。顧問走下車,對牧羊人說:「你看你這裡有一大群羊,萬一走失了一頭你也不會知道。這樣吧,我在一分鐘內替你計算出羊的數量,這可以幫助你管理羊群,如果我計算正確,你就送我一頭羊當作報酬,如何?」
牧羊人聳聳肩,表示同意。
於是顧問從車上取出筆記型電腦,接上GPS,進行一番看起來顯然繁複無比的計算。一分鐘以後,顧問對牧羊人說:「你這裡的羊群一共有1327隻,沒錯吧?」同時,顧問將其中的一隻抱到了自己懷裡,準備帶走。
牧羊人看了看顧問,說:「你大概是從事企管顧問工作的吧!」
顧問非常訝異,問他怎麼知道。
牧羊人解釋說:「理由很簡單。第一、你不請自來;第二、你花一堆力氣告訴了我一個我其實已經知道的事情,但你卻還是想要從中獲利;第三、你既不了解我也不了解我的生意,你看看懷裡抱著的,那是我的牧羊犬!」
16. 不過啦喎,都係補句,存在即合理。你一定可以話我做唔到BCG McKinsey先葡萄人地,請便,因為我真係入唔到。但,既然可以長玩長有,梗有啲原因嘅。最緊要大家feel good嘛。講到尾,你股價得嘅,股東話知你請成班consultant啦
(*)你冇睇錯,係霍去病個friend 辛棄疾.大家都識嘅《青玉案—元夕》(**),勁過陳奕迅《K歌之王》。你可以收下入面有幾多間公司名?「東風」未必係,但「花千樹」(張五常!)肯定係!仲有「寶馬」,當然仲有「眾裡尋他」嘅「百度」。我個人覺得,只講公司名,「百度」就型過串錯字嘅Google(***)千百倍,可惜得個名係冇用的,
(**)又畀你恥笑下,我到好近年先知道《青玉案》個「案」字唔係讀「按」。換著如果公開場合我咁讀,又可以畀人恥笑「學霸都係讀屎片」。即係「垃圾美斯,呢球我去都入」一樣。
(***)知架可?係咯,又可以恥笑我唔識tech,但我識得買Google,亦都知度間公司係串錯字,原本叫Googol.更勁嘅係,我小學(!)已經知道咩係Googol —1後面100個零,10^100,真係多得《讀者文摘》。我仲知道咩係GoogolPlex,「1後面Googol咁多個零,即係10^(10^100)」。而家Google個總部咪叫Googleplex。係咯,我唔識Tech,但我識買Google.
(****)當然係特登打錯的,套戲幾好睇。金基德嘛。
==============
月頭訂最抵!2021比別人知得多。subscribe now(https://bityl.co/4Y0h)。Ivan Patreon,港美市場評點,專題號外,每日一圖,好文推介。每星期6篇,月費100,已經1700人訂! 畀年費仲有85折
==============
mckinsey news 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
รถบรรทุก ขับด้วยตัวเอง จะเปลี่ยนโลกการขนส่ง ไปตลอดกาล /โดย ลงทุนแมน
นอกจากรถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าแล้ว
พัฒนาการของรถไร้คนขับ ก็เป็นอีกนวัตกรรมที่คนทั่วโลกต่างจับตามอง
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ขับขี่ได้โดยไม่ต้องจับพวงมาลัยของ Tesla และ Audi
หรือแม้แต่รถมินิแวนไร้คนขับของ Waymo บริษัทในเครือ Alphabet
แต่รู้หรือไม่ว่านอกเหนือจากการเดินทางในชีวิตประจำวันแล้ว ผู้พัฒนานวัตกรรมไร้คนขับก็กำลังขับเคี่ยวกันในอุตสาหกรรมการขนส่งเพื่อพัฒนา “รถบรรทุก” ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
แล้วนวัตกรรมรถบรรทุกไร้คนขับนี้ ส่งผลต่อระบบการขนส่งสินค้าอย่างไร
และกำลังพัฒนาไปถึงระดับไหนแล้ว ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สินค้าแทบทุกชิ้นที่อยู่รอบตัว ต่างต้องเคยผ่านการขนส่งด้วยรถบรรทุกก่อนมาถึงมือเรา
อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคคิดเป็นสัดส่วนจากรถบรรทุกกว่า 2 ใน 3 นั่นจึงทำให้อุตสาหกรรมรถบรรทุกในประเทศแห่งนี้ มีมูลค่ากว่า 25 ล้านล้านบาท
และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซ
ที่ปัจจุบัน ต่างหันมาแข่งขันกันในเรื่องความเร็วในการจัดส่ง
โดยเฉพาะบริการ “Same Day Delivery” หรือบริการจัดส่งสินค้าภายในวันเดียว
เหล่าคนขับรถขนส่งสินค้ารวมไปถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ จึงต้องทำงานหนักมากขึ้น
เพราะต้องเพิ่มความเร็วในการขนส่งตามนโยบายของบริษัท รวมถึงต้องทำงานเกินเวลา
นั่นจึงทำให้อาชีพคนขับรถบรรทุก มีจำนวนชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 10 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน เลยทีเดียว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนขับรถส่งสินค้าของ Amazon.com ออกมาประท้วงเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หรือแม้แต่การนัดกันหยุดงานและออกมาชุมนุมในประเทศเกาหลีใต้ของคนขับรถรับส่งและรถบรรทุกสินค้าหลายบริษัท หนึ่งในนั้นก็คือ Coupang บริษัทอีคอมเมิร์ซเกาหลีใต้ เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แล้วทำไม บริษัทเหล่านี้ไม่จ้างพนักงานขับรถบรรทุกเพิ่ม ?
เหตุผลสำคัญที่บริษัทไม่นิยมจ้างพนักงานขับรถมาเพิ่ม ไม่ใช่เพียงเพราะต้นทุนค่าจ้างที่จะสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ด้วย
อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกามีการประเมินไว้ว่า คนขับรถบรรทุกขาดแคลนมากกว่า 60,000 ตำแหน่ง และจะขาดแคลนมากขึ้นกว่านี้อีกเป็นเท่าตัว ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นั่นก็เพราะว่าผู้ประกอบอาชีพขับรถบรรทุก มีอายุเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูงและกำลังทยอยเกษียณอายุกันแต่กลับไม่มีคนวัยหนุ่มสาวเข้ามาทดแทน เพราะความนิยมในอาชีพเหล่านี้น้อยลงไปทุกที
นวัตกรรมขับเคลื่อนอัตโนมัติ จึงจะมีบทบาทสำคัญ ในการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมรถบรรทุก
เพราะระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง จึงสามารถขนส่งได้
แม้ในช่วงนอกเวลางานของคนขับรถซึ่งจะเข้ามาช่วยร่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าทั้งระบบให้รวดเร็วขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สตาร์ตอัปรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติสัญชาติอเมริกันที่ชื่อ TuSimple ได้ทดลองขนส่งแตงโมโดยเดินทางผ่าน 3 เมือง เป็นระยะทาง 1,530 กิโลเมตร ผลปรากฏว่าใช้เวลาน้อยกว่ารถบรรทุกแบบดั้งเดิมที่มีคนขับถึง 42% หรือจาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 14 ชั่วโมง
นอกจากเวลาที่ใช้น้อยลงแล้ว พลังงานและแรงงานก็ถูกใช้น้อยลงด้วยเช่นกัน
ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลงในระยะยาว ซึ่งถ้าพัฒนาไปถึงขั้นที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ ก็จะลดต้นทุนได้ถึง 50% แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาที่สูงในช่วงแรกก็ตาม
และเมื่อรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบใช้ไฟฟ้า
นวัตกรรมดังกล่าวจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถบรรทุกจะมีความท้าทายที่มากกว่ารถยนต์
ทั้งในเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่มากกว่าและตัวรถที่มีขนาดใหญ่กว่า รวมถึงการพัฒนาระบบเซนเซอร์และระบบคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ ก็ต้องทำให้ตอบสนองได้เร็วกว่า และประมวลผลไปได้ล่วงหน้ากว่ารถยนต์เป็นเท่าตัว
เมื่อดูความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีไร้คนขับของรถบรรทุก
จากระบบการแบ่งระดับของเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่กำหนดโดย SAE International
ที่เริ่มจากระดับ 0 คือเป็นยานยนต์คนขับ 100%
ไปจนถึงระดับ 5 ที่เป็นยานยนต์ไร้คนขับ 100%
ในปัจจุบันรถบรรทุกไร้คนขับส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า
โดยระดับ 3 ที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า “Conditional Automation” ซึ่งรถจะขับเคลื่อนได้เองเลย
แต่ยังมีคนขับนั่งไปด้วยเผื่อต้องควบคุมพวงมาลัยในกรณีฉุกเฉิน
ในกรณีของรถบรรทุก จะใช้ระบบเพิ่มเติมที่เรียกว่า “Platoon” ซึ่งคือการที่ให้รถบรรทุกวิ่งตามกันเป็นขบวน โดยแต่ละคันจะเชื่อมต่อด้วยระบบแบบไร้สายเพื่อให้รถคันหลังตอบสนองตามคันที่นำขบวน
สำหรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 ของรถบรรทุกในช่วงแรกจะเป็น Platoon แบบมีคนขับ
คือรถบรรทุกทุกคันในขบวนยังมีคนขับนั่งไปด้วย และจะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ Platoon นี้บนทางหลวงเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนโล่งและเป็นระยะทางยาว พอเข้าสู่ถนนปกติที่พลุกพล่าน ก็จะสลับมาให้คนขับรถแทน
ในระยะต่อมา ก็จะถูกพัฒนาไปเป็นระบบ Platoon แบบไร้คนขับ
โดยจะมีคนนั่งหลังพวงมาลัยเฉพาะในรถที่นำขบวนเท่านั้น
ส่วนรถคันอื่นจะขับเคลื่อนเองแบบไร้คนขับ
แต่ยังคงใช้ระบบนี้เฉพาะบนทางหลวงเหมือนเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้เฉลี่ย 10%
ระบบ Platoon แบบมีคนขับ เริ่มทดลองสำเร็จเมื่อปี 2016
จากโครงการ European Truck Platooning Challenge
โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง Daimler, Volvo และ Scania ที่เป็นบริษัทในเครือ Volkswagen ซึ่งสามารถทำสถิติขบวนรถบรรทุกที่วิ่งได้ระยะทางไกลสุดในโครงการนี้ ด้วยระยะทาง 2,000 กิโลเมตร จากประเทศสวีเดน ผ่านเดนมาร์ก เยอรมนี ไปถึงปลายทางที่เนเธอร์แลนด์
ก่อนที่ปีต่อมา Scania และ Toyota เริ่มทดลองระบบ Platoon แบบไร้คนขับได้สำเร็จในประเทศสิงคโปร์
และปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่กำลังพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถบรรทุก
ให้เข้าสู่ระดับ 4 ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีระบบเชื่อมต่อกันเป็นขบวนแล้ว
และไม่ต้องมีคนขับรถเลยในช่วงที่เป็นทางหลวง รวมถึงในบางเส้นทางที่มีการบันทึกข้อมูลไปแล้ว
แต่คนขับรถจะมีบทบาทในช่วงเส้นทางที่ซับซ้อนมาก และยังต้องมีคนขนของขึ้นลงรถตามจุดต้นทางและปลายทางอยู่
McKinsey คาดการณ์ว่ารถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 4 หรือ “High Automation” จะสามารถพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์อย่างน้อยภายในปี 2025 ถึง 2027
หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเข้าสู่ระดับสูงสุดที่ระดับ 5 หรือ “Full Automation”
ที่ยานยนต์จะขับเคลื่อนได้เองแบบไร้คนขับโดยสมบูรณ์
และบริษัทที่เป็นผู้นำในตลาดรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติในปัจจุบัน
อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ Bloomberg ก็คือ TuSimple, Aurora และ Waymo
TuSimple เป็นสตาร์ตอัปนวัตกรรมไร้คนขับที่โฟกัสรถบรรทุกอย่างเดียวมาตั้งแต่แรก และมีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในรถบรรทุกที่ก้าวหน้าที่สุดในขณะนี้ โดย TuSimple ตั้งเป้าว่าจะวางระบบขนส่งด้วยรถบรรทุกไร้คนขับได้ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาในอีก 3 ปีข้างหน้า
ส่วน Aurora และ Waymo เริ่มต้นมาจากการพัฒนารถยนต์และรถให้บริการรับส่งคน ก่อนที่จะเข้ามาสู่ตลาดรถบรรทุก ซึ่งผู้ก่อตั้ง Aurora ก็คืออดีตทีมบริหารจาก Waymo และ Tesla นั่นเอง
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่หลายบริษัทตัดสินใจเลือกพัฒนารถบรรทุกควบคู่ไปด้วย
ก็เป็นเพราะว่า ด้วยความที่รถบรรทุกใช้ขนส่งสิ่งของที่ไม่มีชีวิต
และการมุ่งเน้นในการพัฒนารถบรรทุก ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ไร้คนขับอย่างสมบูรณ์ อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมรถบรรทุก ก่อนยานยนต์อื่น ๆ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.mckinsey.com/industries/travel-logistics-and-infrastructure/our-insights/distraction-or-disruption-autonomous-trucks-gain-ground-in-us-logistics
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-05-01/waymo-tusimple-aurora-inside-the-race-to-build-self-driving-trucks
-https://www.vox.com/recode/2020/7/1/21308539/self-driving-autonomous-trucks-ups-freight-network
-https://www.weforum.org/agenda/2020/03/self-driving-trucks-will-change-the-world-more-than-you-might-think/
-https://techsauce.co/tech-and-biz/6-level-autonomous-car
-https://www.theverge.com/2016/4/7/11383392/self-driving-truck-platooning-europe
-https://www.engadget.com/2017-01-25-singapore-full-scale-autonomous-truck-platooning-trial.html
-https://www.cnbc.com/2021/05/19/tusimple-self-driving-trucks-saved-10-hours-on-24-hour-run.html
mckinsey news 在 Yusuke's Tech Room Youtube 的精選貼文
本日のスポンサー:EVERPROOF チェックしてみてくださーい!
https://amzn.to/37bBp39
ーーーーーーーーーーーーー
さて今日はThe Information/Mac Rumors/Bloombergからの情報ですが、どうやらアップルはARグラスだけではなくてVRヘッドセットも開発しているそうです! 今までの動画ではARグラスのリークを何度かカバーしてきましたが、VRが出るとは全く知りませんでした。動画の中でも言いましたが、アップルがVRヘッドセットを開発しているのは非常に驚きでした。今まで見たMcKinsey,Pwc, Goldman SachsなどのホワイトペーパーではVRはあまりマーケットが伸びずにARがグングン伸びると予想されているので、アップルもどちらかというとARグラスの開発を加速させるのかと思いきや、あえてVRにも開発リソース回してるって言うのは驚きでした。まー王者こそできる開発リソースの余裕ってやつですかね。ともかくアップルからVRが出る可能性があるそうなのですけど、みんなどう思います?正直あんまりVRのファンではないので、そんな自分からするとVRヘッドセットはアイマスク程度の軽さと重さにならないと普及しないと思います。(アイマスクくらいであれば寝る前につけて映画みるとかも良さそう)ただアップルがそれを2022までにやり切れるかと言うと若干怪しいかなとおもいます。もしアップルがVRヘッドセットを軍事向けとかB2B向けにデザインしてるならまーまだ用途はあるかなーとは思いますけど、今後のアップルの参入戦略が楽しみですね。
アップルは2022年にVR/ARヘッドセットを出した後に、今までずっとリークで出ていたARグラスをリリースすることを予定しているみたいです。正直VRとかどーでもいいのでARグラスを前倒しで出してほしいです。アップルのARスマートグラスはiPhonenのアクセサリーとして販売されるそうで、iPhone12か13か分かりませんが、コンピューティングはiPhoneで行って、そのデータを何らかの形でARスマートグラスに送って表示するみたいです。そう思うの次のiPhone12のスペックが気になりますよね。Wifiは使わないと思うので、BTかと思いますけど、バンド足りるのかなーとかiPhone12のスペックが色々ときになります。来年のiPhone12ではフルモデルチェンジになるはずなので、今までのiPhone11では見られなかったようなインターナルの変更があるかもしれませんね。
また色々と情報があればおとどけしまーす!
#AppleGlasses #ARグラス #ARスマートグラス #VR #AR
さんこー
https://www.macrumors.com/2019/11/11/new-ar-sensor-2020-ipad-pro-iphone/
https://www.macrumors.com/2019/11/11/apple-augmented-reality-headset-2022/
https://www.theinformation.com/articles/apple-eyes-2022-release-for-ar-headset-2023-for-glasses
https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-11-11/apple-s-ar-push-will-start-with-ipad-and-culminate-with-glasses
---ビジネス関連の連絡先---
yusuketechroom@gmail.com
---------機材一覧---------
メインカメラ
動画様カメラ本体
https://amzn.to/2XaLSdV
超万能レンズ
https://amzn.to/2FDFCAi
夜もばっちり暗所用レンズ
https://amzn.to/2FvXn4H
メインカメラ用マイク
https://amzn.to/2Lpnn5i
写真用カメラ
カメラ本体(サムネ用)
https://amzn.to/2RB2KnW
最強広角ズームレンズ
https://amzn.to/2RHhr91
ポートレートレンズ
https://amzn.to/2XaLSdV
超使えるドローン
https://amzn.to/2IQ4maB
お気に入りアクションカメラ
https://amzn.to/2RFsQpH
動画編集用パソコン
https://amzn.to/2RFsQpH
動画編集用モニター
https://amzn.to/2FOsnx5
動画編集用スピーカー
https://amzn.to/2FCvms3
---他のYouTubeチャンネル---
1. Yusuke MURAMATSU(ロンドン生活ブログ)
https://www.youtube.com/channel/UCKgnbSnKsN1F_1lWTSTJW6A
2. Yusuke’s Studio(動画編集関連)
https://www.youtube.com/channel/UC6hdhOZx_2UR5bR5rUCD4Aw
---Music---
mckinsey news 在 McKinsey & Company - News | Consultancy.org 的相關結果
McKinsey & Company | News · McKinsey opens free Forward learning program for Middle East youth · Environmental non-profit Delterra spins out of McKinsey.org. ... <看更多>
mckinsey news 在 Latest News & Videos, Photos about mckinsey - The ... 的相關結果
mckinsey Latest Breaking News, Pictures, Videos, and Special Reports from The Economic Times. mckinsey Blogs, Comments and Archive News on ... ... <看更多>
mckinsey news 在 McKinsey & Company | Global management consulting 的相關結果
McKinsey & Company is the trusted advisor and counselor to many of the world's most influential businesses and institutions. ... <看更多>