[今日寫呢啲]昨日講咗真人垃圾股實驗(錢已輸)同埋新世界17國泰293維他奶345,今日近乎冇講個股,只講市況
==============
一週年!月頭訂最抵!比別人知得多。subscribe now(https://bityl.co/4Y0h)。Ivan Patreon,港美市場評點,專題號外,每日一圖,好文推介。每星期6篇,月費100,已經1900人訂! 畀年費仲有85折,20/40年費VIP 送本人著作一本。
==============
港股嘅,見咗底未?「實情問呢個問題都廢廢地」,你問我當然係見咗,但不信嘅恒不信,一樣可以話「只係死貓彈唔係真見底」,而根本拗呢啲浪費時間,你往往係一年甚至幾年後先知係咪「真見底」。唔好笑呀,美股舊年到而家,升足18個月,標普指數都升100%,唔少公司升幾倍,都仲一路有人話「同實體經濟脫節」。甚至係「金融海嘯嘅問題都冇解決過只係印錢吊住命」,咁點?即係恒指跌返去100點?你慢慢。「冇嘢唔可能」
投資者未必真係善忘,但你見一堆high beta股照升,阿里巴巴騰訊美團之類都彈,足以證明咩「監管風險冇得計 冇人敢買」係廢話。唔係人買係咩買?雖然就快七月十四。而且,你見唔止係北水買,外國啲中資科技ETF都不停吸金。Patreon入面有睇到。
根本,又係老原則,重賞下有勇夫,殺頭生意有人做,risk and reward之嘛。呢啲咪外行人同內行(我算內行啩?)嘅分別。你只講narrative,邊間公司點勁點勁,咁升10倍你仲追唔追丫?1000倍呢?總有個價。固然冇得你考試咁計個mu 同 sigma,但總有個譜
美股嘅,掉轉頭,都係未係好有力再上,任你講點勁點勁,都有個價。況且8月例淡,文入面有圖。冇錯係過咗基建方案,舊經濟股跑出,債息升,但我中長期都係睇唔會大升。原因文入面講,但實情都好簡單。
2022年2月當然係一個變數,咁話埋你知乜事都得,聯儲局主席鮑威爾任期滿。原本我認為連任冇問題,但而家又似乎有暗湧。點解我之前覺得冇問題?又咩人反對佢?文入面分析。咁你話,扯,2022年2月先屆滿,有排。就錯到不能了,你估人地2月先忽然話你知有冇得連任?仲有,炒預期嘛
每日一圖嘅,呼應返我又見工。咁你估都估到,美國人搵工,最重視嘅係乜(定你以為係成就感或者work life balance追夢)。不過我好似講過一百幾十次,呢啲「調查」,其實係廢廢地。文入面講點解
第二個圖,RobinHood大過UBS,亦即係兩間Nasdaq交易所咁大。你可以諗下make唔make sense.你要買嘅隨便你,不過再一次話你知:你只講narrative,邊間公司點勁點勁,咁升10倍你仲追唔追丫?1000倍呢?總有個價
Good read嘅,第一篇,當然係以色列發明。百合面,好似百合匙咁,40%情況下都呃到啲人面辨識系統。40%,其實好高了。我當你個電話或保案系統,錯三次先鎖機,咁即係,佢過到嘅機會,係78%(中學數學啦,真係唔識計嘅文入面教你)
第二篇,面試常見嘅20個問題,好大路,你好可能聽過,甚至問過人。都好多文講呢啲嘢,但呢篇個作者寫得幾好。
==============
一週年!月頭訂最抵!比別人知得多。subscribe now(https://bityl.co/4Y0h)。Ivan Patreon,港美市場評點,專題號外,每日一圖,好文推介。每星期6篇,月費100,已經1900人訂! 畀年費仲有85折,20/40年費VIP 送本人著作一本。
==============
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過40萬的網紅我要做富翁,也在其Youtube影片中提到,來到五月最後一日,當然要探討一下”Sell in May And Go Away”,亦即是大家熟悉的「五窮六絕七翻身」的美國版。究竟此坊間流傳的理論在美股上會否work?還有本週五一些重要數據公布後,6,7月大市會否出現回調?今天Jackie再度出來跟大家分析一下。如果喜歡此影片,請按讚支持一下,亦...
nasdaq work 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse ทำไมคนไทยไม่ควรพลาด ในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ?
BBLAM x ลงทุนแมน
หลังจาก ลงทุนแมน ได้ชวนผู้เชี่ยวชาญหุ้นเทคโนโลยีจากกองทุนบัวหลวง
มาร่วมพูดคุยในเรื่องหุ้นเทคโนโลยีกันแบบเจาะลึก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยมี 2 Speakers มากประสบการณ์จากกองทุนบัวหลวง ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจมากมาย
- คุณเศรณี นาคธน AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
สถานการณ์ความท้าทาย, โอกาสในอนาคต รวมทั้งแนวทางการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คำถามที่ 1 : หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาอีกครั้งหรือยัง ?
สังเกตไหมว่าในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนได้ดีมาโดยตลอด
โดยในปีนี้ ดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Nasdaq ก็ให้ผลตอบแทน 12%
ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจหุ้นเทคอีกครั้ง
อย่างในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราก็คงได้มีโอกาสใช้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lazada, Shopee หรือ Netflix
แต่ถ้าถามว่ามุมมองต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่า สิ่งที่จะทำให้โลกขับเคลื่อนต่อไปได้ก็คือเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการพัฒนา ให้ถูกขึ้น ดีขึ้น และเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึงเรื่องของสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก ส่งผลให้แรงงานมีจำนวนน้อยลง จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์ หรือ AI เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่แนวโน้มการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมกับการแพทย์อื่น ๆ เช่น การหาหมอออนไลน์, การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ, 3D printing ฯลฯ
ซึ่งถ้าถามว่าถึงเวลาของหุ้นเทคโนโลยีหรือยัง ก็จะเห็นได้ว่า ตลาดเริ่มส่งสัญญาณบวกแล้ว เพราะแม้จะมีความชัดเจนในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่หุ้นเทคในช่วงที่ผ่านมาก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคุณเอมได้เสริมว่า ทุกวันนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเทคโนโลยียังไม่เปลี่ยนแปลง และกำไรยังเติบโต อีกด้วย จากเหตุผลที่ว่ามานี้หุ้นเทคโนโลยีจึงเป็น Theme ลงทุนหลักของโลกในระยะต่อไปแน่นอน
คำถามที่ 2 : “เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” ส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีอย่างไร ?
ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) จะส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยี 2 เรื่องสำคัญ นั่นคือ
- ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของบริษัท เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมเงินก็จะสูงตามไปด้วย
- การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Dividend Discount Model (DDM) เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อัตราคิดลดก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อคิดเป็นมูลค่าหุ้นกลับมา จึงทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีลดลง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย นั่นเอง
ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลายประเทศเริ่มเปิดเมืองและมีการเร่งฉีดวัคซีน
จึงเป็นไปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงคาดว่า Bond Yield ต้องปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่ง Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ก็เคยปรับขึ้นไปสูงถึงเกือบ 1.8% จากเดิมที่มีตัวเลข 1%
แต่แล้ว.. เมื่อประกาศอัตราเงินเฟ้อออกมาสูงตามที่นักลงทุนคาดไว้จริง ๆ Bond Yield ที่ปรับขึ้นมารออยู่แล้ว จึงเริ่มกลับปรับตัวลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า Real Yield ที่คำนวณจาก Bond Yield หลังหักเงินเฟ้อคาดการณ์ ยังอยู่ในระดับต่ำ -0.8%
สะท้อนได้ว่า ผลตอบแทนพันธบัตรไม่น่าจะเอาชนะเงินเฟ้อได้
จึงส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจ จากนั้นมาหุ้นเทคโนโลยีก็เริ่มปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ผ่านเครื่องมือ Dot Plot
ยังมองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อาจเกิดขึ้น 2 ครั้งภายในปี 2023
ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้
นักลงทุนจึงมองว่า ยิ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมาเร็วมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดอัตราเงินเฟ้อย่อมลดลง
ดังนั้น Bond Yield คงไปต่อได้ไม่ไกล จึงน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยี อีกด้วย
คำถามที่ 3 : ปัจจัยใดส่งผลต่อ “การปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยี” ในตอนนี้ ?
ปัจจัยแรกคือ Bond Yield
หากถามว่า Bond Yield เท่าไรถึงจะส่งผลต่อตลาดหุ้น คำตอบจากการสำรวจของ Bank of America นั้นอยู่ที่ 2.5% ซึ่งปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ บวกลบไม่เกิน 1.5%
ดังนั้น กว่าที่ Bond Yield จะปรับตัวสูงถึงระดับนั้น อาจใช้เวลานาน ตลาดหุ้นถึงจะเริ่มปรับฐาน
ปัจจัยที่สองคือ Sector Rotation
เมื่อต้นปีเกิดแรงขายของหุ้นเทคโนโลยี ไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาปรับสูง จนกลายเป็น Commodity Supercycle
สะท้อนได้ว่า สินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็น Most Crowded Trade ที่อาจเข้าใกล้จุดสูงสุดไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเริ่มคลายกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ บวกกับผลประกอบการของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่ออกมาดี จึงเป็นเหตุผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง
ปัจจัยสุดท้ายที่หลายคนกังวลคือ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น คนยังจะพึ่งพาเทคโนโลยีอยู่หรือไม่ ?
ซึ่งต้องยอมรับว่า พฤติกรรมหลาย ๆ อย่างได้กลายเป็น New Normal ไปเรียบร้อยแล้ว
อาทิ Work From Home, การช็อปปิงออนไลน์, การสั่งอาหารแบบ Delivery
สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีจะยังคงอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
คำถามที่ 4 : “QE Tapering” กระทบหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่ ?
การปรับลดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า QE Tapering
แม้ว่าจะมีวงเงินลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสถานะอัดฉีดเงินอยู่ดี
โดย QE Tapering เป็นหนึ่งในสัญญาณชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจอาจดีขึ้นแล้วจริง ๆ
เพราะแม้ว่า FED จะลดวงเงินอัดฉีดเงิน แต่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
สะท้อนได้ว่า เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วง Mid-cycle ของวงจรเศรษฐกิจ
ซึ่ง Mid-cycle จะเป็นช่วงที่ระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ได้สูงมาก และเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องได้
โดยปกติแล้วจะส่งผลดีต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าความกังวลเรื่องสภาพคล่องก็ถูก Price In ไปแล้วบางส่วน
เมื่อทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็พร้อมจะไปต่อได้
นอกจากนี้ ต้องให้เครดิตคุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผู้เป็นสุดยอดนักสื่อสาร และเข้าใจตลาดการลงทุน ซึ่งการค่อย ๆ ออกมาพูด ทำให้ตลาดปรับตัวได้
ที่น่าสนใจคือ หุ้นเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา มีเพียงปีเดียวที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบ คือปี 2018 ที่ให้ผลตอบแทน -1.1% จากมรสุมลูกใหญ่ อาทิ Trade War, ทรัมป์ ทวีต และการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีเดียว ส่วนปีอื่นๆ ล้วนให้ผลตอบแทนในอัตราเลขสองหลัก
สะท้อนได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีได้
คำถามที่ 5 : ถ้าอนาคตเกิด “การดูดกลับสภาพคล่อง” หุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม ?
ก่อนหน้านี้ สภาพคล่องได้กระจายตัวไปทั่วตลาดหุ้น แม้แต่ในหุ้นที่ขาดทุนไม่มีกำไร
ดังนั้น เมื่อสภาพคล่องลดลง หุ้นที่มีคุณภาพและมีกำไร เชื่อว่าจะยังไปต่อได้
ต่างจากหุ้นพื้นฐานไม่ดี ยังไม่มีกำไร คงยากที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้
ทีนี้น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ไม่ใช่หุ้นเทคทุกตัว ที่จะน่ากลัวเสมอไป
หนึ่งวิธีที่จะช่วยเฟ้นหาหุ้นเทคในช่วงเวลานี้คือ วิธี Bottom Up
ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานจากตัวธุรกิจ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น Shopify ธุรกิจ E-commerce แบบครบวงจรสัญชาติแคนาดา ทั้งในด้านการตลาด โกดังเก็บของ และบริการขนส่งสินค้า แม้จะมี P/E สูงมาก แต่ก็สร้างกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องได้ นักลงทุนจึงได้เข้าไปลงทุนจนราคาหุ้นปรับตัวสูง 150% ในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม จึงขึ้นอยู่กับการเลือกหุ้น นั่นเอง
โดยลักษณะหุ้นที่มีโอกาสไปต่อก็คือ หุ้นที่ยังไม่แพง หุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ และเป็นหุ้นใหญ่
อาทิ หุ้นกลุ่ม FAANG, หุ้นกลุ่ม Software-as-a-Service (SaaS) ที่ให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ที่มี Recurring Income หรือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ และราคาหุ้นยังไม่แพง ก็น่าจะยังไปต่อได้
คำถามที่ 6 : หุ้นเทคโนโลยี “ลงทุนระยะยาว” ได้ไหม ?
หลายคนอาจจะยังไม่กล้าถือหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเพราะกลัวปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย
ซึ่งคำถามสำคัญคือ หากมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
อิงจากสถิติตั้งแต่ช่วงปี 1990 จนถึงปัจจุบัน FED ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 7 ครั้ง บวกการทำ QE Tapering อีก 1 ครั้ง
ผลปรากฏว่า Sector ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้มาโดยตลอดก็คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ
หรืออย่างในปัจจุบันเอง ที่มีปัจจัยมากระทบมากมาย อย่างเรื่อง Sector Rotation, ภาษีนิติบุคคลฉบับใหม่, กฎหมายเรื่องการผูกขาด แต่กองทุน B-INNOTECH ยังคงเติบโตกว่า 17%
ดังนั้น ทางกองทุนบัวหลวงก็มองว่า อาจไม่จำเป็นต้องดู Timing มาก แต่ให้เน้นจัดพอร์ตการลงทุนโดยให้คงสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีไว้ เพราะถือเป็น Sector ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ ในตลาด
คำถามที่ 7 : ตอนนี้ “ควรเลือกลงทุน” หุ้นเทคโนโลยี อย่างไรดี ?
หุ้นเทคโนโลยีในช่วงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลัก ๆ 3 ประเภท คือ
1. กลุ่ม Hardware เช่น อุปกรณ์ไอที คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร อย่างบริษัท HP หรือ Logitech
2. กลุ่ม Software as a Service หรือว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในบริษัทองค์กรใหญ่ ๆ เช่น Microsoft Office, Salesforce (CRM) และ ServiceNow
3. กลุ่ม Semiconductor เช่น ชิปเซต การ์ดจอ อย่าง TSMC และ NVIDIA
ซึ่งกลุ่มที่ 2 และ 3 นั้นตลาดจะให้ P/E ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูง ต่างกับกลุ่มที่ 1 ที่อาจเติบโตได้ดีแค่ในช่วงโควิด แต่เป็นสินค้าที่คนไม่ได้ซื้อบ่อย ทำให้ตลาดยังให้ราคาค่อนข้างต่ำ
อย่างบริษัท NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักขุดเหรียญคริปโทฯ ที่มี P/E สูงถึง 76 เท่า แต่ก็มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในไตรมาสที่ผ่านมาสูงถึง 100% ในขณะที่กลุ่ม Hardware อย่าง HP หรือ Logitech นั้นจะมี P/E อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีแต่ละกลุ่มนั้น ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น การเลือกกองทุนที่มีนโยบายบริหารแบบ Active Management หรือ กองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง จึงเป็นนโยบายที่เหมาะกับการลงทุนใน Theme เทคโนโลยีนี้ เพราะจะช่วยให้กองทุนมีความยืดหยุ่นในการคัดเลือกหุ้นมากขึ้น โดยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่เห็น Upside ได้เยอะกว่าได้ เมื่อเทียบกับแบบ Passive Management ที่ลงทุนอิงตามดัชนีเท่านั้น
คำถามที่ 8 : แล้ว “B-INNOTECH” เลือกหุ้นเทคโนโลยีเข้าพอร์ตอย่างไร ?
วิธีคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุน Fidelity ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ B-INNOTECH
จะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ
- Growth คือ หุ้นบริษัทที่เน้นการสร้างนวัตกรรมทันสมัย มีแนวโน้มเติบโต และเป็นผู้นำได้ในระยะยาว
- Cyclical คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และที่จะเติบโตไปตามสภาพเศรษฐกิจได้
ตัวอย่างเช่น หุ้นผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Semiconductor ที่จะยังเติบโตต่อไปได้
- Special Situation คือ หุ้นบริษัทคุณภาพในช่วงเวลาไม่ปกติ
เมื่อกองทุนเห็นบริษัทคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
หากบริษัทนั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้สูง น่าสนใจในอนาคต ก็จะเข้าไปลงทุนเก็บสะสมไว้
ดังนั้น การเลือกหุ้นเทคโนโลยีของกองทุน B-INNOTECH ที่มักจะลงทุนในหุ้นใหญ่
ลักษณะไม่หวือหวา เช่น Alphabet, Microsoft
ด้วยพื้นฐานของการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม เป็นธุรกิจผู้นำในกลุ่ม
รวมทั้งเป็นธุรกิจมีรายได้และกำไรที่มีคุณภาพ และต้องเติบโตต่อเนื่องในอนาคตด้วย
ซึ่งการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่, ธุรกิจเทคโนโลยีพื้นฐาน และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการค่อยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้ B-INNOTECH เป็นกองทุนที่มีความผันผวนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกองทุนเทคโนโลยีและ Innovation อื่น ๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้ว่า B-INNOTECH เป็นอีกหนึ่งกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจเลยทีเดียว ในตอนนี้..
คำเตือน:
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อนู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
nasdaq work 在 Eric's English Lounge Facebook 的精選貼文
There’s rhythm in writing! 🎶
這個禮拜Presentality的Andrew來分享英文寫作的節奏!
★★★★★★★★★★★★
我的工作需要看非常多的英文。
其中有英文母語的人寫的,也有非母語的人寫的。最近,我注意到一個兩者之間很明顯的差別。這個差別很少有人提到,因為它無關文法正確,也不是有學問的用語,或是文雅的詞彙。
是句子的長短。
Well,更正確的來說,是長句跟短句的交錯。我發現,非母語人士寫的英文句子,不但比英文母語的人寫的長,而且是大部分句子都很長。
母語的人,尤其是很會寫的人,則是會把長句跟短句混合搭配。
那又怎樣?
★★★★★★★★★★★★
你可能會說 ok,以英文為母語的人比較會用短的句子,那又怎樣?句子的長短,跟我寫作的好壞,有關嗎?
關係可大了。
就像音樂,或是影片,文字也是「內容」。只要是「內容」,就有它的節奏。你可以想像一首曲子,從頭到尾都是很長的音,而且一點變化都沒有嗎?或是一部很長的影片,從頭到尾都是很長的畫面,而且一點節奏的變化都沒有嗎?
Well actually,你應該可以想像,這些就是要幫助我們睡眠的。
如果你不想要你的讀者覺得無聊或甚至睡著,我建議適度變換你文字的節奏。
但我們先看案例。
我拿一篇台灣人寫的文,跟另一篇美國人寫的,來做比較:把每個句子都分拆成不同的段落,句子的長短就一目了然了。
★★★★★★★★★★★★
但我們先看案例。
我拿一篇台灣人寫的文,跟另一篇美國人寫的,來做比較:把每個句子都分拆成不同的段落,句子的長短就一目了然了。
📌 台灣案例:Taipei Times Opinion
1. The TAIEX last month rose above 17,000 points as rallies in steel, shipping and some non-tech stocks offset a weakness in semiconductor and electronics stocks.
2. While news about a cluster of local COVID-19 infections connected with China Airlines cargo pilots and a hotel in Taoyuan fueled selling pressure early this month and pushed the local stock market into consolidation mode, the daily market turnover in the first two trading sessions of this month hit fresh highs.
3. Moreover, Taiwan’s stock trading volume last month began to surpass that of Hong Kong for the first time in 15 years, which was beyond most market participants’ expectations.
4. Taiwan’s daily market turnover exceeding Hong Kong’s might gradually become a new normal from this year, and there are good reasons for this.
5. First, Hong Kong’s stock market has lost its appeal to foreign investors since China last year imposed national security legislation on the territory, triggering a potential flight of capital and talent.
6. Second, many wealthy Taiwanese tend to park their overseas funds in Hong Kong, China, Singapore, Switzerland and the US, but government statistics showed that more than 80 percent of funds repatriated by wealthy individuals last year were from Hong Kong, as they saw the political situation in the territory worsen after its self-governance, human rights and freedom of speech were further suppressed.
7. Third, China’s new NASDAQ-style stock board — the Shanghai Stock Exchange’s STAR board — has emerged as a fast-growing capital markets center for Chinese companies at a time when rising China-US tensions have triggered concerns about their prospects of listing in New York, posing a growing challenge to the Hong Kong stock exchange.
8. On the other hand, Taiwan’s economic fundamentals, the central bank’s adoption of extraordinary monetary easing and the government’s fiscal policies have fueled continued rallies in the nation’s stock market since last year.
9. It might be too early to tell how long the consolidation trend might last, as a resurgent COVID-19 outbreak is coloring the global economic outlook, but some insight can be drawn from the stock market:
10. Taiwan’s GDP grew a larger-than-expected 8.16 percent in the first quarter, as exports and private investment remained healthy.
都是一堆很長的句子對不對?我們來看美國人寫的句子,也是一個主流媒體的 opinion 文。
★★★★★★★★★★★★
📌 美國案例:New York Times Opinion
1. I miss torturing Liz Cheney.
2. But it must be said that the petite blonde from Wyoming suddenly seems like a Valkyrie amid halflings.
3. She is willing to sacrifice her leadership post — and risk her political career — to continue calling out Donald Trump’s Big Lie.
4. She has decided that, if the price of her job is being as unctuous to Trump as Kevin McCarthy is, it isn’t worth it, because McCarthy is totally disgracing himself.
5. It has been a dizzying fall for the scion of one of the most powerful political families in the land, a conservative chip off the old block who was once talked about as a comer, someone who could be the first woman president.
6. How naïve I was to think that Republicans would be eager to change the channel after Trump cost them the Senate and the White House and unleashed a mob on them.
7. I thought the Donald would evaporate in a poof of orange smoke, ending a supremely screwed-up period of history.
8. But the loudest mouth is not shutting up.
9. And Republicans continue to listen, clinging to the idea that the dinosaur is the future.
10. “We can’t grow without him,” Lindsey Graham said.
📌 Note: 即使是比較長的句子,這位作者也會用標點符號拆散它:She is willing to sacrifice her leadership post — and risk her political career — to continue calling out Donald Trump’s Big Lie. 這就好比用句點一樣,讓我們讀起來有點停頓休息的時間。
★★★★★★★★★★★★
📌 注意到了嗎?
台灣人寫的英文,句子都偏長,而且長度都差不多。
美國人寫的就不一樣了:一個只有五個字的句子開頭,然後一堆稍微長一點的句子,然後再來一串短句。
你可能懷疑我故意挑選很極端了例子出來,而且幹嘛專門打台灣人呢?
所以想到這裡,我從我的書架上,隨便挑了兩本跟科技有關的書出來。左邊的,是美國人,矽谷知名投資人 Peter Thiel。右邊的是德國人,但注意了,是一個英文非常好的德國人。他不但是世界經濟論壇的創辦人,研究所也是在哈佛大學唸的。
★★★★★★★★★★★★
📌 兩本書 Introduction 是怎麼寫的?
Klaus Schwab (德國):
Of the many diverse and fascinating challenges we face today, the most intense and important is how to understand and shape the new technology revolution, which entails nothing less than a transformation of humankind.
We are at the beginning of a revolution that is fundamentally changing the way we live, work, and relate to one another.
In its scale, scope and complexity, what I consider to be the fourth industrial revolution is unlike anything humankind has experienced before.
Peter Thiel (美國):
Whenever I interview someone for a job, I like to ask this question: "What important truth do very few people agree with you on?"
The question sounds easy because it's straightforward.
Actually, it's very hard to answer.
It's intellectually difficult because the knowledge that everyone is taught in school is by definition agreed upon.
See the difference?
★★★★★★★★★★★★
📌 如何變換節奏呢?
需要Andrew的完整分享請留言「There’s rhythm in writing~」。
Follow Presentality for more!
https://www.facebook.com/presentality
nasdaq work 在 我要做富翁 Youtube 的最佳貼文
來到五月最後一日,當然要探討一下”Sell in May And Go Away”,亦即是大家熟悉的「五窮六絕七翻身」的美國版。究竟此坊間流傳的理論在美股上會否work?還有本週五一些重要數據公布後,6,7月大市會否出現回調?今天Jackie再度出來跟大家分析一下。如果喜歡此影片,請按讚支持一下,亦請分享給身邊對美股有興趣的朋友,更多分析教學陸續送上 :)
======================
1) Jackie美股分享會&試堂Online:
https://edu.money-tab.com/activity-reg-c?jackus=yt
2) 我要做股神APP下載:http://onelink.to/mtapp
3) 緊貼我們社交平台,不錯過任何免費分析/教學:
訂閱YouTube頻道: https://youtube.com/channel/UCdWNwPuaS1o2dIzugNMXWtw?sub_confirmation=1
讚好Facebook專頁:https://facebook.com/203349819681082