กรณีศึกษา LeBron James นักบาสที่ทำธุรกิจ ระหว่างเล่นบาส /โดย ลงทุนแมน
“LeBron James” ถูกยกย่องให้เป็นตำนานบาสเกตบอล NBA
แม้ว่าปัจจุบันเขาก็ยังคงลงสนามแข่งขันอยู่
ซึ่งนอกจากในด้านกีฬาแล้ว รู้หรือไม่ว่าเขายังเป็นเจ้าของและได้เข้าไปลงทุนในอีกหลายธุรกิจ
รวม ๆ กันแล้ว มีมูลค่าระดับหมื่นล้านบาท
แต่กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จทั้งด้านการแข่งขันกีฬาและธุรกิจ
ในวัยเด็ก LeBron James ก็เรียกได้ว่ามีต้นทุนติดลบตั้งแต่เกิด
แล้วเขาเปลี่ยนต้นทุนติดลบให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
LeBron James เกิดในปี ค.ศ. 1984 ที่เมืองเอกรอน รัฐโอไฮโอ
เขาเกิดในขณะที่แม่ของเขามีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น
ส่วนพ่อของเขาก็ติดคุกและไม่เคยได้พบหน้ากันตั้งแต่เด็ก
นอกจากปัญหาของพ่อแม่แล้ว ชีวิตในวัยเด็กของเขาถือว่ามีต้นทุนที่ติดลบกว่าเด็กคนอื่น ๆ อย่างมาก
เริ่มตั้งแต่เมืองที่เขาเกิด..
ในการสำรวจจัดอันดับเมืองที่น่าหดหู่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา
เอกรอน คลีฟแลนด์ และอีกหลายเมืองในรัฐโอไฮโอ มักจะติดอันดับต้น ๆ อยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก ปัญหาคอร์รัปชัน ไปจนกระทั่งความล้มเหลวทางการกีฬา
ที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ในกีฬาประเภทใดได้เลยมายาวนานกว่า 50 ปี
ชีวิตในวัยเด็กของเขาก็ถือว่าน่าหดหู่ไม่แพ้กัน
ด้วยความที่แม่ของเขาต้องเปลี่ยนงานอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้าน
ทำให้ทั้งแม่และตัวเขาเองในวัย 3 ขวบไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ต้องคอยอาศัยโซฟาในบ้านของคนรู้จักเป็นที่หลับนอนยาวนานกว่า 6 ปี
ซึ่งก็มีอยู่หลายบ้านด้วยกันที่เขาเคยย้ายเข้าไปอยู่ โดยในปี ค.ศ. 1993 เขาเคยย้ายที่อยู่ 5 ครั้งใน 3 เดือน
ในขณะที่ James เองสมัยเรียนอยู่เกรด 4 ก็เคยขาดเรียนกว่าร้อยวันจากปัญหาสภาพจิตใจและเรื่องรอบตัว
ถึงแม้จะเกิดมาด้วยต้นทุนที่ติดลบ แถมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม แต่ความพิเศษหนึ่งที่ติดตัวเขามาด้วยนั่นคือร่างกายที่พิเศษกว่าใคร
ในปี ค.ศ. 1993 James ในวัย 9 ขวบ มีส่วนสูงเกือบเท่ากับแม่ของเขาคือ 165 เซนติเมตร วิ่งเร็วและแข็งแรงถึงขั้นที่เรียกได้ว่าผิดปกติจากเด็กทั่วไป และในตอนนั้นเองที่เขาได้รู้จักกับ Bruce Kelker โค้ชอเมริกันฟุตบอลที่กำลังจะตั้งทีมขึ้นมาแข่งในระดับประถม
ซึ่ง Kelker ได้ดึงตัว James เข้าทีมและอาสารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเขาและได้ชวนสองแม่ลูกมาอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับเขา
ในปีแรกที่ James ลงแข่ง เขาทำทัชดาวน์ไปถึง 17 ครั้งภายใน 6 เกมที่ลงแข่งขัน ความสามารถและร่างกายของเขาโดดเด่นถึงขนาดที่ว่าโค้ชของทีมตรงข้ามต้องขอดูสูติบัตรเพราะสงสัยว่า James อาจจะโกงอายุเพื่อลงมาเข้าแข่งขัน
ต่อมา James และแม่ของเขามีความจำเป็นต้องย้ายบ้านอีกครั้งและตัวเขาได้ย้ายไปอยู่กับเพื่อนของโค้ช Kelker ที่ได้กลายมาเป็นโค้ชสอนบาสเกตบอลคนแรกของเขาชื่อ “Frankie Walker”
James จึงได้เรียนรู้การเล่นบาสเกตบอล และด้วยวินัยที่ยอดเยี่ยม บวกกับความตั้งใจในการฝึกซ้อม ฝีมือการเล่นบาสเกตบอลของ James ก็ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดด
ต่อมา ฝีมือและชื่อเสียงของ James เริ่มมีมากขึ้นและโด่งดังไปไกลระดับประเทศ ถึงขนาดที่ว่า ESPN สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาต้องถ่ายทอดสดการแข่งขันระหว่างทีมของเขาและ Oak Hill Academy ซึ่งเป็นทีมเต็งแชมป์ระดับประเทศ
โดยการถ่ายทอดสดครั้งนี้ นับเป็นการถ่ายทอดเกมบาสเกตบอลระดับมัธยมเป็นครั้งแรกของ ESPN ในรอบ 13 ปี และ James ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เพราะเขาเป็นตัวหลักที่พาทีมเอาชนะทีมเต็งแชมป์ท่ามกลางสายตาของชาวอเมริกันทั่วประเทศ
และแล้ว ช่วงเวลาที่เขาได้กอบโกยเงินจำนวนมหาศาลก็มาถึง
ในปี ค.ศ. 2002 James ในวัย 18 ปีเป็นที่สนใจของสื่อทั่วประเทศ ทั้งดารา นักบาสเกตบอลชื่อดัง หรือแม้แต่ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา Nike อย่าง Phil Knight ก็ยังต้องมาดูเขาแข่งที่ข้างสนาม
ในตอนนั้นมีแบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ 3 แบรนด์รอที่จะเซ็นสัญญากับเด็กหนุ่มวัย 18 ปีคนนี้ ก่อนที่เขาจะถึงคิวเข้าคัดเลือกสู่ NBA ในปี ค.ศ. 2003 โดยมีทั้ง Adidas Reebok และ Nike ที่เข้าคิวรอเจรจากับ James
ซึ่ง James ก็เรียกได้ว่ามีดีเอ็นเอของความเป็นนักธุรกิจอยู่ในสายเลือดเลยทีเดียว เพราะเขาจะใส่ชุดกีฬาของ Adidas ทุกครั้งที่ไปออกงานของ Nike และจะเลือกใส่ชุดของ Nike ทุกครั้งที่ไปงานของ Adidas ส่งผลให้ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขาจะเลือกเซ็นสัญญากับแบรนด์ไหน
ซึ่งวิธีการนี้เองก็ทำให้แต่ละแบรนด์ต่างทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเจรจากับ James
Adidas เสนอสัญญามูลค่า 1,800 ล้านบาท
Nike เสนอสัญญามูลค่า 2,700 ล้านบาท
Reebok เสนอสัญญามูลค่า 3,450 ล้านบาท พร้อมจ่ายเป็นเช็คเงินสดทันที 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม James ต้องการเลือก Nike ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะต้องการเดินตามรอยนักบาสเกตบอลระดับตำนานอย่าง Michael Jordan ที่ได้สร้างธุรกิจแบรนด์ชุดกีฬาเป็นของตัวเองขึ้นมาร่วมกับ Nike
นั่นจึงทำให้ในปี ค.ศ. 2003 เขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับ Nike ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่าซูเปอร์สตาร์คนดังอย่าง Kobe Bryant ที่ได้สัญญาจาก Nike เสียอีก โดยในปีนั้นมีนักกีฬาเพียง 3 คนทั่วโลก ที่มีรายได้จากสปอนเซอร์มากกว่าเขา
สุดท้ายแล้วการเลือก Nike ในครั้งนั้น ก็นำไปสู่การต่อสัญญาสปอนเซอร์มูลค่ามหาศาลที่คาดการณ์กันว่าสูงถึง 30,000 ล้านบาท ในปี ค.ศ. 2015 ซึ่งนับเป็นสัญญาตลอดชีพสัญญาแรกของ Nike ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา
นอกจาก Nike แล้ว หลากหลายแบรนด์ระดับโลกต่างก็ต้องการเซ็นสัญญากับ James อย่างเช่น McDonald’s, Coca-Cola หรือแม้แต่ Intel บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์..
แล้วอะไรกัน ที่ทำให้ James ต่างจากนักกีฬาส่วนใหญ่ ?
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากนักกีฬาชื่อดังคนอื่น ๆ
ก็คือ James เป็นนักกีฬาที่ชื่นชอบในด้านธุรกิจและการลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2006 หูฟังยี่ห้อ Beats by Dre ได้ถือกำเนิดขึ้น
และผู้ก่อตั้งอย่าง Dr. Dre แรปเปอร์ชื่อดังต้องการร่วมมือกับ James ในการโปรโมตสินค้า
แทนที่ James จะรับเป็นสปอนเซอร์ให้กับบริษัท แต่สิ่งที่ James ทำก็คือเขาได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมในการขอเป็นหุ้นส่วนในบริษัทเข้าไปด้วย
โดยหลังจากได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนกัน James ก็ได้เอาตัวเองเป็นช่องทางการตลาด
ซึ่งในช่วงกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีน เขาได้แจกหูฟังให้กับเพื่อนร่วมทีมชาติทุกคนที่ร่วมแข่ง
ทำให้ปรากฏภาพนักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติสหรัฐอเมริกาทั้ง 15 คน ที่ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้านนักกีฬา ตอนซ้อม หรือสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง ก็จะมีหูฟัง Beats by Dre คล้องคออยู่เสมอ
จุดนี้เองที่ทำให้หูฟังแบรนด์ Beats by Dre กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกและเมื่อบริษัทถูกซื้อโดย Apple ในปี ค.ศ. 2014 ทำให้ James ได้รับส่วนแบ่งจากการขายกิจการดังกล่าวไปกว่า 900 ล้านบาท
อีกการลงทุนที่น่าสนใจคือ การลงทุนในร้านพิซซาแบรนด์ Blaze Pizza ในปี ค.ศ. 2012
ด้วยเงินลงทุน 30 ล้านบาทในขณะที่ร้านยังมีเพียงแค่ 1 สาขาเท่านั้น
โดยเขาเลือกที่จะไม่ต่อสัญญามูลค่า 450 ล้านบาทกับ McDonald’s
เพื่อที่จะได้นำภาพลักษณ์ของตัวเขาเองมาใช้ในการโปรโมตร้านพิซซาที่เขาลงทุน
ในปี ค.ศ. 2017 Forbes ได้จัดให้ Blaze Pizza คือเชนร้านอาหารที่เติบโตเร็วที่สุดที่เคยมีมา โดยปัจจุบัน Blaze Pizza มีจำนวนสาขากว่า 336 สาขา และมูลค่าเงินลงทุน 30 ล้านบาทของ James ได้เพิ่มกลายเป็น 1,200 ล้านบาทในปัจจุบัน คิดผลตอบแทนเป็น 40 เด้ง ภายใน 5 ปี
และการลงทุนที่สร้างชื่อให้กับ James มากที่สุดก็คือการลงทุนในทีมฟุตบอลลิเวอร์พูล
ในปี ค.ศ. 2011 เป็นช่วงที่ทีมลิเวอร์พูลไม่ได้มีผลงานที่ดีนัก ในขณะที่เจ้าของทีมอย่าง Fenway Sports Group (FSG) บริษัทที่เป็นเจ้าของทีมกีฬาจำนวนมาก ซึ่งก็ต้องการใช้ชื่อของ James ในการโปรโมตแบรนด์และดึงดูดลูกค้าเข้าบริษัท
James จึงยื่นข้อแลกเปลี่ยนนอกเหนือจากค่าตัวแล้ว เขายังต้องการหุ้น 2% ในทีมลิเวอร์พูลอีกด้วย
หลังจากข้อตกลงกับ FSG เสร็จสิ้น James ได้เยี่ยมชมการแข่งขันของลิเวอร์พูลและเขายังได้มอบหูฟัง Beats by Dre รุ่นพิเศษให้กับนักฟุตบอลในทีมอีกด้วย
จากดีลดังกล่าวทำให้หลังจากที่ลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์ในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ก็ทำให้มูลค่าของทีมลิเวอร์พูลในปี ค.ศ. 2019 เพิ่มขึ้นมหาศาล และหุ้น 2% ของเขา ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,100 ล้านบาท
นอกจากการลงทุนทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
พอร์ตการลงทุนของ James ก็ยังมีอีกมากมาย เช่น
- บริษัท Ladder ซึ่งเขาได้ร่วมมือกับ Arnold Schwarzenegger เพื่อร่วมกันสร้างแบรนด์อาหารเสริมคุณภาพสูงสำหรับนักกีฬา และกิจการดังกล่าวก็ได้ถูกซื้อไปโดย Openfit แบรนด์ฟิตเนสชื่อดัง
- บริษัท SpringHill Entertainment บริษัทผลิตภาพยนตร์ สารคดี และรายการโทรทัศน์หลากหลายรายการ และได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทกว่า 22,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า James ถือหุ้นกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัท
- บริษัท Uninterrupted แพลตฟอร์มสื่อทางด้านกีฬา ที่เชื่อมต่อบรรดานักกีฬาชื่อดังกับแฟนคลับผ่านรายการต่าง ๆ มากมายซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก
ปัจจุบัน Forbes ระบุว่า James มีทรัพย์สินราว 25,500 ล้านบาท ซึ่งทำให้ชีวิตของเขานั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านกีฬาและธุรกิจเลยทีเดียว
ก็เป็นที่น่าติดตามว่าในอนาคตอาชีพนักกีฬาของ LeBron James จะเป็นอย่างไร
หรือเขาจะเริ่มวางมือจากสนามบาสเกตบอล แล้วเข้าสู่สนามธุรกิจเต็มตัวเมื่อไร
เพราะอีกหนึ่งความฝันของเขาก็คือ “การได้เป็นเจ้าของทีมใน NBA”
ซึ่งด้วยกฎปัจจุบันของ NBA ทำให้เขาที่มีสถานะเป็นนักกีฬายังไม่สามารถเป็นเจ้าของทีมใด ๆ ได้
เรื่องทั้งหมดนี้ของ LeBron James สะท้อนให้เห็นว่าต้นทุนทางชีวิตของเรา
อาจจะมีผลมากกับช่วงชีวิตในวัยเด็กก็จริง แต่หลังจากนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับตัวเราเองมากกว่า
เหมือนกับ James ชีวิตในวัยเด็ก เรียกได้ว่าติดลบ
แต่พอเขาโตขึ้น เขาก็ได้นำความพิเศษทางร่างกายที่ได้รับมา
รวมเข้ากับความมุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อม จนก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาระดับโลก และมีส่วนช่วยต่อยอดให้เขาเป็นนักธุรกิจระดับโลกด้วย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.youtube.com/watch?v=0Qrey_QLSr8
-https://www.espn.com/nba/story/_/id/9825052/how-lebron-james-life-changed-fourth-grade-espn-magazine
-https://tonesanddefinition.com/2018/12/03/the-chosen-one-1-lebron-james/
-https://www.forbes.com/video/6269489945001/heres-how-lebron-james-could-become-a-billionaire-/?sh=2fdd29996486
-https://www.forbes.com/sites/kurtbadenhausen/2017/07/11/lebron-james-backed-blaze-pizza-is-fastest-growing-restaurant-chain-ever/?sh=649f2a5752b2
-https://www.marketwatch.com/story/when-lebron-james-chose-nike-in-2003-he-gave-up-28-million-it-could-end-up-making-him-1-billion-2019-08-29
-https://www.essentiallysports.com/nba-basketball-newsfrom-blaze-pizza-to-liverpool-f-c-the-top-5-businesses-lebron-james-owns/
pizza instagram story ideas 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
รู้จัก "ไรเดอร์ในยุคถัดไป" Nuro รถดิลิเวอรีไร้คนขับ /โดย ลงทุนแมน
ภาพที่ทุกคนเห็นว่ามีไรเดอร์คอยส่งอาหารดิลิเวอรีให้เรา
ภาพนี้อาจจะอยู่ได้แค่ในยุคนี้ก็เป็นได้
เพราะในอนาคตการดิลิเวอรีเหล่านี้ อาจทำได้โดยรถที่ไร้คนขับ
“Nuro” สตาร์ตอัปจากสหรัฐอเมริกา คือผู้พัฒนายานพาหนะไร้คนขับเพื่อรับส่งสินค้าแบบ “ดิลิเวอรี” โดยเฉพาะ
รถดิลิเวอรีไร้คนขับของ Nuro น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
การดิลิเวอรี เป็นเมกะเทรนด์ของโลก
รถไร้คนขับ ก็เป็นเมกะเทรนด์ของโลก
ดังนั้นเมื่อนำ การดิลิเวอรี + รถไร้คนขับ มารวมกันก็น่าจะเป็นซูเปอร์เมกะเทรนด์ที่กำลังมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว
โดยยานยนต์ไร้คนขับในเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จะถูกพัฒนาเพื่อการใช้งานใน 2 รูปแบบหลัก คือเพื่อรับส่งคนและขนส่งสินค้า
ซึ่งบริษัทที่เน้นพัฒนารถสำหรับรับส่งคน ก็มีผู้นำอยู่มากมาย อย่างเช่น Waymo ของ Alphabet, Zoox ของ Amazon และ AutoX จากประเทศจีน รวมไปถึงผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเรียกรถรับส่งอยู่แล้วอย่าง Uber
ส่วนบริษัทที่เน้นพัฒนารถสำหรับขนส่งสินค้า ก็มีผู้นำอย่างเช่น TuSimple, Aurora และ Embark ซึ่งล้วนเป็นรถบรรทุกไร้คนขับที่ใช้สำหรับส่งสินค้าจำนวนมากเป็นระยะทางไกล จากจุดเก็บสินค้าหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
นั่นจึงทำให้สตาร์ตอัปที่ชื่อว่า “Nuro” เลือกสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ด้วยการเน้นพัฒนารถไร้คนขับ เพื่อส่งสินค้าจากร้านค้าไปถึงมือผู้รับ อย่างเช่น ของสดจากซูเปอร์มาร์เกต อาหาร และพัสดุ ในรูปแบบบริการดิลิเวอรี
Nuro เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2016 หรือ 5 ปีที่แล้ว ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยคุณ Dave Ferguson และคุณ Jiajun Zhu
ซึ่งผู้ร่วมก่อตั้งทั้งคู่ เคยเป็นหัวหน้าทีมวิศวกรในโปรเจกต์พัฒนายานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Google ที่ภายหลังจดทะเบียนแยกเป็นบริษัทโดยใช้ชื่อว่า Waymo
ในปี 2017 Nuro ได้รับใบอนุญาตเพื่อทดสอบรถส่งของไร้คนขับในสนามทดลอง โดยในช่วงแรก Nuro เริ่มต้นพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อใช้กับรถยนต์พริอุสของโตโยต้า
หลังจากนั้น Nuro ค่อยเปิดตัวยานยนต์ไร้คนขับที่ออกแบบเองรุ่นแรก ที่ชื่อ R1 ในปี 2018 และพัฒนาต่อยอดเป็นรุ่นที่ 2 ที่ชื่อว่า R2 ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2020
ที่น่าสนใจก็คือ ดีไซน์ยานยนต์ของ Nuro ที่ถูกออกแบบมาใหม่เพื่อการส่งสินค้าโดยเฉพาะ จึงไม่มีที่นั่งสำหรับคนขับ มีเพียงพื้นที่สำหรับบรรจุสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิได้
โดยตัวรถเป็นรูปทรงคล้ายกับเครื่องปิ้งขนมปังที่มีล้อขนาดเล็ก 4 ล้อ และขนาดกะทัดรัดกว่ารถยนต์ทั่วไป
ในเรื่องความปลอดภัย Nuro ได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยจำนวนมาก ตามมาตรฐานของยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่น กล้อง 360 องศา, กล้องตรวจจับความร้อน, LiDAR และ Radar เพื่อตรวจจับสิ่งกีดขวาง
นอกจากนี้ Nuro ยังถูกกำหนดให้ทำความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถให้บริการได้เฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศปกติ เท่านั้น
โดย Nuro เริ่มทดสอบระบบและให้บริการในรัฐแอริโซนาและเท็กซัสก่อน ซึ่งเป็นเมืองแห่งการทดสอบยานยนต์ไร้คนขับอยู่แล้ว และ Nuro เลือกให้บริการในย่านที่อยู่อาศัยและแถบชานเมืองที่รถวิ่งไม่พลุกพล่าน
สำหรับเส้นทางการให้บริการดิลิเวอรีของ Nuro เริ่มขึ้นในปี 2018 โดยมี Kroger เชนซูเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่ มาร่วมมือพัฒนาระบบดิลิเวอรี เพื่อส่งสินค้าโดยเฉพาะของสดภายในวันที่สั่งเลย
ในปีนั้น Kroger เริ่มให้บริการดิลิเวอรีด้วยรถของ Nuro ที่เมืองสกอตส์เดล รัฐแอริโซนา ก่อนขยายไปที่เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ในช่วงต้นปี 2019
ซึ่ง Kroger ให้บริการโดยไม่กำหนดยอดซื้อขั้นต่ำและคิดค่าบริการแบบคงที่ที่ 5.95 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 197 บาท
หลังจากนั้น Walmart ซึ่งเป็นเชนร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุด ก็ได้เข้ามาร่วมมือกับ Nuro เพื่อให้บริการส่งสินค้าที่เมืองฮิวสตันเช่นกัน
ต่อมา Nuro ก็ได้ขยายตลาดไปสู่สินค้าประเภทอาหารพร้อมทานร่วมกับ Domino’s Pizza ในปี 2019
ก่อนที่จะเริ่มให้บริการส่งพิซซาแบบไร้คนขับได้จริง ที่เมืองฮิวสตัน เมื่อเดือนเมษายน ปี 2021 ที่ผ่านมา
ความร่วมมือกับ Domino’s Pizza นี้ก็นับว่าน่าสนใจและเป็นโอกาสขยายการให้บริการที่สำคัญ
ที่บอกแบบนี้ก็เพราะว่าในปี 2020 ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันบริโภคพิซซาแบบดิลิเวอรีคิดเป็นมูลค่ากว่า 4.64 แสนล้านบาท ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งมาจากแบรนด์เดียว นั่นคือ Domino’s Pizza
รวมถึงในปี 2020 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 Nuro ก็ได้ขยายการให้บริการไปสู่กลุ่ม Healthcare โดยร่วมมือกับ CVS เชนร้านขายยาขนาดใหญ่ เพื่อบริการขนส่งถึงบ้าน สำหรับยาที่มีใบสั่งยาจากแพทย์หรือเภสัชกร ในเมืองฮิวสตัน เช่นเดิม
นอกจากนี้ Nuro ยังใช้ประโยชน์ของรถดิลิเวอรีไร้คนขับเพื่อเข้าไปช่วยส่งอุปกรณ์การแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์อื่นที่สำคัญ ให้กับสเตเดียม 2 แห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศูนย์รักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19
และล่าสุดในปี 2021 Nuro ก็ขยายมาสู่บริการขนส่งพัสดุ โดยร่วมมือกับ FedEx
การใช้บริการระบบดิลิเวอรีด้วยรถ Nuro ทำได้เหมือนการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของแต่ละเจ้า เช่น Kroger และ Domino’s Pizza เพียงแค่เลือกวิธีการขนส่งเป็นของ Nuro ซึ่งสามารถเลือกเวลารับสินค้าได้เองด้วย
เมื่อสั่งซื้อสินค้าไปแล้ว ก็จะมีแผนที่ให้ดูได้ว่ารถส่งของอยู่ตรงไหนและจะมีรหัสส่งมาให้
เพื่อใช้ปลดล็อกเพื่อหยิบของเมื่อรถส่งของมาถึง โดยใส่รหัสผ่านหน้าจอแบบสัมผัส
แม้ว่าในปัจจุบัน ลูกค้าที่สั่งสินค้าและใช้บริการดิลิเวอรีของ Nuro ยังต้องเสียค่าบริการอยู่ แต่ผู้บริหารมีเป้าหมายที่จะไม่คิดค่าบริการในอนาคต โดยจะเก็บค่าบริการจากร้านค้าที่เลือกใช้บริการของ Nuro เท่านั้น
ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าชาวอเมริกันกว่า 90% ชื่นชอบบริการรถดิลิเวอรีไร้คนขับ แต่ยังมีอุปสรรคที่สำคัญคือค่าบริการ
สิ่งที่น่าติดตามก็คือว่า บางบริษัทที่เป็นพาร์ตเนอร์กับ Nuro ก็ยังร่วมพัฒนาระบบดิลิเวอรีไร้คนขับกับเจ้าอื่นด้วย อย่างเช่น Domino’s Pizza ที่เคยเป็นพาร์ตเนอร์กับ Ford มาก่อน และ Walmart ก็เลือกเป็นพาร์ตเนอร์กับสตาร์ตอัปอีกหลายเจ้า
แต่เมื่อเทียบกับพาร์ตเนอร์เหล่านั้น ยังคงมีเพียง Nuro ที่เป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อบรรจุสินค้าโดยเฉพาะ
นอกจากผู้พัฒนารถไร้คนขับเพื่อส่งของเหมือนกันแล้ว คู่แข่งของ Nuro ก็ยังมีบริการส่งของไร้คนขับในรูปแบบอื่น อย่างเช่น หุ่นยนต์ส่งของมีล้อที่ชื่อ Scout ของ Amazon ที่มีขนาดเล็กกว่ารถของ Nuro และไม่ได้วิ่งบนถนน แต่วิ่งได้เฉพาะบนทางเท้า
ยังรวมไปถึงการขนส่งสินค้าด้วยโดรน ที่แม้จะเหมาะสำหรับใช้ขนส่งสินค้าบางประเภทที่แตกต่างกัน แต่ก็ถือเป็นพัฒนาการที่น่าจับตามอง
ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติของการแข่งขันทางธุรกิจ แต่ที่สำคัญก็คือช่วงเวลาที่ผ่านมา Nuro ได้พิสูจน์มาในระดับหนึ่งว่าเป็นผู้นำของรถดิลิเวอรีไร้คนขับ
โดยรถรุ่น R2 ที่เปิดตัวช่วงต้นปี 2020 เป็นยานยนต์ไร้คนขับรุ่นแรก ที่ไม่มีพวงมาลัย คันเร่ง เบรก กระจกมองข้าง กระจกมองหลัง และส่วนประกอบอื่นตามมาตรฐานรถยนต์แบบดั้งเดิม ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย จากหน่วยงานภาครัฐ
หลังจากนั้นไม่นาน Nuro ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานด้านการขนส่งของรัฐแคลิฟอร์เนีย ให้เริ่มทดสอบวิ่งส่งของได้จริง เป็นบริษัทที่ 2 ต่อจาก Waymo
และปลายปี 2020 Nuro ก็แซง Waymo ได้ด้วยการได้รับอนุญาตให้บริการรถส่งของไร้คนขับ “เชิงพาณิชย์” เป็นบริษัทแรกในแคลิฟอร์เนีย นั่นคือสามารถเริ่มเก็บค่าบริการขนส่งได้
ซึ่งที่ผ่านมา Nuro ก็สามารถระดมทุนไปได้ราว 49,725 ล้านบาท จากกองทุนชั้นนำอย่าง Baillie Gifford และ Fidelity Management and Research รวมไปถึง Softbank Vision Fund ซึ่งเป็นผู้ลงทุนหลักกว่า 60% ของเงินทุนทั้งหมดที่ Nuro ได้รับ จนปัจจุบัน Nuro ถูกประเมินมูลค่ากว่า 165,750 ล้านบาท
จากเรื่องราวการสร้างความแตกต่างให้ยานยนต์ไร้คนขับของ Nuro ก็ทำให้เราสรุปได้ว่านวัตกรรมรถไร้คนขับกำลังจะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตเรามากขึ้นในอนาคต และก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งในเมกะเทรนด์ ที่น่าจับตามอง
และเมื่อถึงเวลานั้นจริง ไรเดอร์ที่เป็นมนุษย์ซึ่งมีบทบาทต่อวงการดิลิเวอรีในปัจจุบัน ก็อาจเจอความท้าทาย อย่างยิ่ง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.com/self-driving-delivery-vehicle-startup-nuro-how-it-works-2020-11
-https://techcrunch.com/2020/12/23/nuro-can-now-operate-and-charge-for-autonomous-delivery-services-in-california/
-https://techcrunch.com/2020/11/09/autonomous-delivery-startup-nuro-hits-5-billion-valuation-on-fresh-funding-of-500-million/
-https://www.theverge.com/2018/8/16/17693760/nuro-kroger-self-driving-delivery-scottsdale-arizona
-https://www.theverge.com/2018/1/30/16936548/nuro-self-driving-delivery-last-mile-google
-https://www.theverge.com/2020/4/22/21231466/nuro-delivery-robot-health-care-workers-food-supplies-california
-https://www.wired.com/story/vehicle-no-side-view-mirrors-legal/
-https://www.crunchbase.com/organization/nuro-2
pizza instagram story ideas 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก Chipotle ร้านอาหารเม็กซิโก ที่กำลังมาแรง ในสหรัฐฯ /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงร้านอาหารแนวเม็กซิโก ที่มีชื่อเสียง
คนจำนวนไม่น้อยจะคุ้นเคยกับร้าน Taco Bell
ที่มีเจ้าของคือ บริษัท Yum! Brands เจ้าของแบรนด์ร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง Pizza Hut และ KFC
แต่รู้หรือไม่ว่า ในตอนนี้ Yum! Brands กำลังมีมูลค่าน้อยกว่า เชนร้านอาหารเม็กซิโกที่มีสาขาอยู่ 2,622 สาขา ในสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อว่า Chipotle Mexican Grill (Chipotle)
Chipotle เป็นใคร ?
อะไรทำให้เจ้าของเชนร้านอาหารรายนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Chipotle อ่านว่า “ชิ-โป-เล่”
เรื่องราวของร้านนี้ เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1993
ผู้ก่อตั้งร้านนี้คือ คุณ Steve Ells อดีตผู้ช่วยเชฟจากร้านอาหารหรูในซานฟรานซิสโก
ที่ตัดสินใจหันมาเปิดร้านอาหารสไตล์เม็กซิโกเล็กๆ ของตัวเอง ในเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา
ร้านแห่งนี้ได้รับความนิยมในช่วงเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากเปิดให้บริการ
จากที่เขาคาดว่าจะขาย Burrito ได้เพียงวันละ 100 ชิ้น
กลับกลายเป็นขายได้มากถึง 1,000 ชิ้นต่อวัน
ที่น่าสนใจคือ ในปี 1998 McDonald’s เชนร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง ยังได้ให้ความสนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วยในร้าน Chipotle อีกด้วย
เรื่องนี้ทำให้ Chipotle สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว
จาก 14 สาขา เพิ่มขึ้นไปเป็นเกือบ 500 สาขาใน 7 ปี
จนสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2006
และหลังจากที่เข้าตลาดได้ไม่นาน McDonald’s ก็ตัดสินใจถอนทุนออกจาก Chipotle ทั้งหมดในภายหลัง
แต่ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ Chipotle ก็เคยมียุคตกต่ำในช่วงหนึ่งเช่นกัน
เรื่องที่ว่านั่นก็คือ อาหารในร้าน Chipotle ถูกตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียอีโคไล ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดอาการอาหารเป็นพิษร้ายแรง ทำให้ยอดขายของ Chipotle ลดลงอย่างมากในช่วงปี 2015 ถึง 2018
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ถึงขนาดที่ทำให้คุณ Steve Ells ผู้ก่อตั้ง ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง CEO เลยทีเดียว
แต่แล้วก็เหมือนมีวีรบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วย
เมื่ออดีต CEO ของ Taco Bell อย่างคุณ Brian Niccol ตัดสินใจเข้ามารับตำแหน่ง CEO คนใหม่
คุณ Brian เข้ามาช่วยคุมเข้มเรื่อง สุขอนามัยของวัตถุดิบต่างๆ และ ปรับรูปแบบ Chipotle ให้มีความเป็นมาตรฐานมากขึ้น
ด้วยประสบการณ์ที่คุณ Brian เคยบริหารกิจการร้านอาหารแนวเม็กซิโก Taco Bell มาก่อน ทำให้เขาสามารถฟื้นฟูชื่อเสียงและความนิยมของ Chipotle ให้กลับมาได้อีกครั้ง
โดยนับตั้งแต่คุณ Brian เข้ามารับตำแน่ง ก็ทำให้มูลค่าบริษัทของ Chipotle ในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจากช่วงตกต่ำมาแล้วกว่า 183%
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยแล้วว่า Chipotle นั้นมีดีอะไร ที่ทำให้สามารถกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง
แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ Chipotle แตกต่างจากร้านอาหารแนวเม็กซิโกร้านอื่น
ประเด็นแรกคือ Chipotle ให้ความสำคัญในเรื่องวัตถุดิบมากกว่าร้านฟาสต์ฟู้ดทั่วๆ ไป
อย่างเช่น เนื้อสัตว์ที่ใช้ต้องปราศจากฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ ส่วนผักที่ใช้ก็ต้องเป็นผักออร์แกนิก ไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม และทั้งเนื้อและผักต้องไม่ใส่สารกันบูด ทำให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ถึงคุณภาพอาหารของร้าน และตอบโจทย์คนรักสุขภาพ
ประเด็นที่สอง คือ เมนูอาหาร
รู้ไหมว่า Chipotle มีเมนูหลักเพียง 4 อย่างเท่านั้น คือ
1. Taco
2. Burrito
3. Burrito Bowl
4. สลัด
ซึ่งทั้ง 4 อย่างนี้ใช้วัตถุดิบที่ใกล้เคียงกันคือ ผัก แผ่นแป้ง เนื้อสัตว์ และข้าว แต่แตกต่างกันตรงที่รูปแบบการประกอบให้เป็นเมนูต่างๆ
การที่มีเมนูจำนวนไม่มาก ช่วยให้ Chipotle ไม่ต้องสต็อกวัตถุดิบหลายอย่าง และง่ายต่อการจดจำของผู้บริโภคด้วย
ซึ่งสิ่งสำคัญของเมนูทั้งหมด คือจะเน้นรสชาติแบบต้นตำรับอาหารเม็กซิโกแท้ๆ
ในขณะที่ร้านอื่นอย่างเช่น Taco Bell จะมีการปรับเปลี่ยนให้อาหารเม็กซิโกมีรสชาติถูกปากชาวอเมริกันมากขึ้นหรือที่เรียกว่าอาหารสไตล์ Tex-Mex (Texan-Mexican)
และประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจคือ
ปัจจุบัน Chipotle มีสาขาในสหรัฐฯ ทั้งหมด 2,622 สาขา และในต่างประเทศอีก 31 สาขา
โดย Chipotle ทำหน้าที่บริหารเองทั้งหมด
ในขณะที่ Taco Bell จะเป็นรูปแบบการขยายสาขาในแบบแฟรนไชส์มากกว่า
ซึ่งการบริหารสาขาทั้งหมดด้วยตัวเจ้าของแบรนด์เอง
จะสามารถควบคุมคุณภาพอาหารและบริการของร้าน ได้สะดวกและทั่วถึงกว่าแบบให้แฟรนไชส์
แล้ว Chipotle รายได้ดีแค่ไหน?
ปี 2017 รายได้ 139,000 ล้านบาท กำไร 5,480 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 151,000 ล้านบาท กำไร 5,490 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 174,000 ล้านบาท กำไร 10,895 ล้านบาท
หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของรายได้ ปีละ 12%
โดยเฉพาะในช่วงโควิด 19 ระบาดในสหรัฐฯ
ยอดขายช่องทางออนไลน์ ในไตรมาสที่ 2 นั้นเพิ่มขึ้นถึง 216% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
เรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้ความคาดหวังของนักลงทุนสูงขึ้น
จนทำให้มูลค่าบริษัทของ Chipotle เพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านล้านบาท
ซึ่งมูลค่านี้ สูงกว่า Yum! Brands เจ้าของ Taco Bell, Pizza Hut และ KFC ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 913,000 ล้านบาท ในตอนนี้เสียอีก
เรื่องของ Chipotle เป็นกรณีศึกษาที่ดีว่า
ถึงแม้จะเป็นร้านอาหารแบบจานด่วนหรือฟาสต์ฟู้ด
ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะต้องได้รับประสบการณ์แบบร้านฟาสต์ฟู้ด คือเน้นที่ความรวดเร็ว แต่คุณภาพอาหารอาจไม่ดีเสมอไป
อย่างที่ผู้ก่อตั้งอย่างคุณ Steve Ells ได้เคยกล่าวไว้ว่า
“Food served fast doesn't have to be a traditional fast-food experience.”
“อาหารจานด่วน ไม่ได้จำเป็นจะต้องให้ประสบการณ์แบบ “จานด่วน” เสมอไป”..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-Chipotle Maxican Grill Inc, Annual Report 2019
-https://www.businessinsider.com/the-chipotle-story-2011-3
-https://www.tradingview.com/symbols/NYSE-CMG/
-https://www.investopedia.com/articles/active-trading/041315/why-chipotle-so-successful-popular.asp
-https://www.cnbc.com/2020/07/22/chipotle-mexican-grill-cmg-q2-2020-earnings.html#:~:text=Chipotle's%20digital%20sales%20soared%20216,digital%20orders%20drive%20sales%20growth.
-https://www.businessinsider.com/chipotle-digital-sales-up-216-customers-choose-carryout-over-dine-in-2020-7