สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse ทำไมคนไทยไม่ควรพลาด ในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ?
BBLAM x ลงทุนแมน
หลังจาก ลงทุนแมน ได้ชวนผู้เชี่ยวชาญหุ้นเทคโนโลยีจากกองทุนบัวหลวง
มาร่วมพูดคุยในเรื่องหุ้นเทคโนโลยีกันแบบเจาะลึก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยมี 2 Speakers มากประสบการณ์จากกองทุนบัวหลวง ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจมากมาย
- คุณเศรณี นาคธน AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
สถานการณ์ความท้าทาย, โอกาสในอนาคต รวมทั้งแนวทางการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คำถามที่ 1 : หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาอีกครั้งหรือยัง ?
สังเกตไหมว่าในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนได้ดีมาโดยตลอด
โดยในปีนี้ ดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Nasdaq ก็ให้ผลตอบแทน 12%
ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจหุ้นเทคอีกครั้ง
อย่างในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราก็คงได้มีโอกาสใช้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lazada, Shopee หรือ Netflix
แต่ถ้าถามว่ามุมมองต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่า สิ่งที่จะทำให้โลกขับเคลื่อนต่อไปได้ก็คือเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการพัฒนา ให้ถูกขึ้น ดีขึ้น และเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึงเรื่องของสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก ส่งผลให้แรงงานมีจำนวนน้อยลง จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์ หรือ AI เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่แนวโน้มการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมกับการแพทย์อื่น ๆ เช่น การหาหมอออนไลน์, การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ, 3D printing ฯลฯ
ซึ่งถ้าถามว่าถึงเวลาของหุ้นเทคโนโลยีหรือยัง ก็จะเห็นได้ว่า ตลาดเริ่มส่งสัญญาณบวกแล้ว เพราะแม้จะมีความชัดเจนในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่หุ้นเทคในช่วงที่ผ่านมาก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคุณเอมได้เสริมว่า ทุกวันนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเทคโนโลยียังไม่เปลี่ยนแปลง และกำไรยังเติบโต อีกด้วย จากเหตุผลที่ว่ามานี้หุ้นเทคโนโลยีจึงเป็น Theme ลงทุนหลักของโลกในระยะต่อไปแน่นอน
คำถามที่ 2 : “เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” ส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีอย่างไร ?
ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) จะส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยี 2 เรื่องสำคัญ นั่นคือ
- ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของบริษัท เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมเงินก็จะสูงตามไปด้วย
- การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Dividend Discount Model (DDM) เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อัตราคิดลดก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อคิดเป็นมูลค่าหุ้นกลับมา จึงทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีลดลง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย นั่นเอง
ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลายประเทศเริ่มเปิดเมืองและมีการเร่งฉีดวัคซีน
จึงเป็นไปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงคาดว่า Bond Yield ต้องปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่ง Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ก็เคยปรับขึ้นไปสูงถึงเกือบ 1.8% จากเดิมที่มีตัวเลข 1%
แต่แล้ว.. เมื่อประกาศอัตราเงินเฟ้อออกมาสูงตามที่นักลงทุนคาดไว้จริง ๆ Bond Yield ที่ปรับขึ้นมารออยู่แล้ว จึงเริ่มกลับปรับตัวลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า Real Yield ที่คำนวณจาก Bond Yield หลังหักเงินเฟ้อคาดการณ์ ยังอยู่ในระดับต่ำ -0.8%
สะท้อนได้ว่า ผลตอบแทนพันธบัตรไม่น่าจะเอาชนะเงินเฟ้อได้
จึงส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจ จากนั้นมาหุ้นเทคโนโลยีก็เริ่มปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ผ่านเครื่องมือ Dot Plot
ยังมองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อาจเกิดขึ้น 2 ครั้งภายในปี 2023
ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้
นักลงทุนจึงมองว่า ยิ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมาเร็วมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดอัตราเงินเฟ้อย่อมลดลง
ดังนั้น Bond Yield คงไปต่อได้ไม่ไกล จึงน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยี อีกด้วย
คำถามที่ 3 : ปัจจัยใดส่งผลต่อ “การปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยี” ในตอนนี้ ?
ปัจจัยแรกคือ Bond Yield
หากถามว่า Bond Yield เท่าไรถึงจะส่งผลต่อตลาดหุ้น คำตอบจากการสำรวจของ Bank of America นั้นอยู่ที่ 2.5% ซึ่งปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ บวกลบไม่เกิน 1.5%
ดังนั้น กว่าที่ Bond Yield จะปรับตัวสูงถึงระดับนั้น อาจใช้เวลานาน ตลาดหุ้นถึงจะเริ่มปรับฐาน
ปัจจัยที่สองคือ Sector Rotation
เมื่อต้นปีเกิดแรงขายของหุ้นเทคโนโลยี ไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาปรับสูง จนกลายเป็น Commodity Supercycle
สะท้อนได้ว่า สินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็น Most Crowded Trade ที่อาจเข้าใกล้จุดสูงสุดไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเริ่มคลายกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ บวกกับผลประกอบการของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่ออกมาดี จึงเป็นเหตุผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง
ปัจจัยสุดท้ายที่หลายคนกังวลคือ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น คนยังจะพึ่งพาเทคโนโลยีอยู่หรือไม่ ?
ซึ่งต้องยอมรับว่า พฤติกรรมหลาย ๆ อย่างได้กลายเป็น New Normal ไปเรียบร้อยแล้ว
อาทิ Work From Home, การช็อปปิงออนไลน์, การสั่งอาหารแบบ Delivery
สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีจะยังคงอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
คำถามที่ 4 : “QE Tapering” กระทบหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่ ?
การปรับลดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า QE Tapering
แม้ว่าจะมีวงเงินลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสถานะอัดฉีดเงินอยู่ดี
โดย QE Tapering เป็นหนึ่งในสัญญาณชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจอาจดีขึ้นแล้วจริง ๆ
เพราะแม้ว่า FED จะลดวงเงินอัดฉีดเงิน แต่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
สะท้อนได้ว่า เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วง Mid-cycle ของวงจรเศรษฐกิจ
ซึ่ง Mid-cycle จะเป็นช่วงที่ระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ได้สูงมาก และเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องได้
โดยปกติแล้วจะส่งผลดีต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าความกังวลเรื่องสภาพคล่องก็ถูก Price In ไปแล้วบางส่วน
เมื่อทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็พร้อมจะไปต่อได้
นอกจากนี้ ต้องให้เครดิตคุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผู้เป็นสุดยอดนักสื่อสาร และเข้าใจตลาดการลงทุน ซึ่งการค่อย ๆ ออกมาพูด ทำให้ตลาดปรับตัวได้
ที่น่าสนใจคือ หุ้นเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา มีเพียงปีเดียวที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบ คือปี 2018 ที่ให้ผลตอบแทน -1.1% จากมรสุมลูกใหญ่ อาทิ Trade War, ทรัมป์ ทวีต และการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีเดียว ส่วนปีอื่นๆ ล้วนให้ผลตอบแทนในอัตราเลขสองหลัก
สะท้อนได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีได้
คำถามที่ 5 : ถ้าอนาคตเกิด “การดูดกลับสภาพคล่อง” หุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม ?
ก่อนหน้านี้ สภาพคล่องได้กระจายตัวไปทั่วตลาดหุ้น แม้แต่ในหุ้นที่ขาดทุนไม่มีกำไร
ดังนั้น เมื่อสภาพคล่องลดลง หุ้นที่มีคุณภาพและมีกำไร เชื่อว่าจะยังไปต่อได้
ต่างจากหุ้นพื้นฐานไม่ดี ยังไม่มีกำไร คงยากที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้
ทีนี้น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ไม่ใช่หุ้นเทคทุกตัว ที่จะน่ากลัวเสมอไป
หนึ่งวิธีที่จะช่วยเฟ้นหาหุ้นเทคในช่วงเวลานี้คือ วิธี Bottom Up
ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานจากตัวธุรกิจ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น Shopify ธุรกิจ E-commerce แบบครบวงจรสัญชาติแคนาดา ทั้งในด้านการตลาด โกดังเก็บของ และบริการขนส่งสินค้า แม้จะมี P/E สูงมาก แต่ก็สร้างกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องได้ นักลงทุนจึงได้เข้าไปลงทุนจนราคาหุ้นปรับตัวสูง 150% ในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม จึงขึ้นอยู่กับการเลือกหุ้น นั่นเอง
โดยลักษณะหุ้นที่มีโอกาสไปต่อก็คือ หุ้นที่ยังไม่แพง หุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ และเป็นหุ้นใหญ่
อาทิ หุ้นกลุ่ม FAANG, หุ้นกลุ่ม Software-as-a-Service (SaaS) ที่ให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ที่มี Recurring Income หรือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ และราคาหุ้นยังไม่แพง ก็น่าจะยังไปต่อได้
คำถามที่ 6 : หุ้นเทคโนโลยี “ลงทุนระยะยาว” ได้ไหม ?
หลายคนอาจจะยังไม่กล้าถือหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเพราะกลัวปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย
ซึ่งคำถามสำคัญคือ หากมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
อิงจากสถิติตั้งแต่ช่วงปี 1990 จนถึงปัจจุบัน FED ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 7 ครั้ง บวกการทำ QE Tapering อีก 1 ครั้ง
ผลปรากฏว่า Sector ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้มาโดยตลอดก็คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ
หรืออย่างในปัจจุบันเอง ที่มีปัจจัยมากระทบมากมาย อย่างเรื่อง Sector Rotation, ภาษีนิติบุคคลฉบับใหม่, กฎหมายเรื่องการผูกขาด แต่กองทุน B-INNOTECH ยังคงเติบโตกว่า 17%
ดังนั้น ทางกองทุนบัวหลวงก็มองว่า อาจไม่จำเป็นต้องดู Timing มาก แต่ให้เน้นจัดพอร์ตการลงทุนโดยให้คงสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีไว้ เพราะถือเป็น Sector ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ ในตลาด
คำถามที่ 7 : ตอนนี้ “ควรเลือกลงทุน” หุ้นเทคโนโลยี อย่างไรดี ?
หุ้นเทคโนโลยีในช่วงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลัก ๆ 3 ประเภท คือ
1. กลุ่ม Hardware เช่น อุปกรณ์ไอที คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร อย่างบริษัท HP หรือ Logitech
2. กลุ่ม Software as a Service หรือว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในบริษัทองค์กรใหญ่ ๆ เช่น Microsoft Office, Salesforce (CRM) และ ServiceNow
3. กลุ่ม Semiconductor เช่น ชิปเซต การ์ดจอ อย่าง TSMC และ NVIDIA
ซึ่งกลุ่มที่ 2 และ 3 นั้นตลาดจะให้ P/E ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูง ต่างกับกลุ่มที่ 1 ที่อาจเติบโตได้ดีแค่ในช่วงโควิด แต่เป็นสินค้าที่คนไม่ได้ซื้อบ่อย ทำให้ตลาดยังให้ราคาค่อนข้างต่ำ
อย่างบริษัท NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักขุดเหรียญคริปโทฯ ที่มี P/E สูงถึง 76 เท่า แต่ก็มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในไตรมาสที่ผ่านมาสูงถึง 100% ในขณะที่กลุ่ม Hardware อย่าง HP หรือ Logitech นั้นจะมี P/E อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีแต่ละกลุ่มนั้น ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น การเลือกกองทุนที่มีนโยบายบริหารแบบ Active Management หรือ กองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง จึงเป็นนโยบายที่เหมาะกับการลงทุนใน Theme เทคโนโลยีนี้ เพราะจะช่วยให้กองทุนมีความยืดหยุ่นในการคัดเลือกหุ้นมากขึ้น โดยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่เห็น Upside ได้เยอะกว่าได้ เมื่อเทียบกับแบบ Passive Management ที่ลงทุนอิงตามดัชนีเท่านั้น
คำถามที่ 8 : แล้ว “B-INNOTECH” เลือกหุ้นเทคโนโลยีเข้าพอร์ตอย่างไร ?
วิธีคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุน Fidelity ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ B-INNOTECH
จะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ
- Growth คือ หุ้นบริษัทที่เน้นการสร้างนวัตกรรมทันสมัย มีแนวโน้มเติบโต และเป็นผู้นำได้ในระยะยาว
- Cyclical คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และที่จะเติบโตไปตามสภาพเศรษฐกิจได้
ตัวอย่างเช่น หุ้นผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Semiconductor ที่จะยังเติบโตต่อไปได้
- Special Situation คือ หุ้นบริษัทคุณภาพในช่วงเวลาไม่ปกติ
เมื่อกองทุนเห็นบริษัทคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
หากบริษัทนั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้สูง น่าสนใจในอนาคต ก็จะเข้าไปลงทุนเก็บสะสมไว้
ดังนั้น การเลือกหุ้นเทคโนโลยีของกองทุน B-INNOTECH ที่มักจะลงทุนในหุ้นใหญ่
ลักษณะไม่หวือหวา เช่น Alphabet, Microsoft
ด้วยพื้นฐานของการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม เป็นธุรกิจผู้นำในกลุ่ม
รวมทั้งเป็นธุรกิจมีรายได้และกำไรที่มีคุณภาพ และต้องเติบโตต่อเนื่องในอนาคตด้วย
ซึ่งการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่, ธุรกิจเทคโนโลยีพื้นฐาน และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการค่อยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้ B-INNOTECH เป็นกองทุนที่มีความผันผวนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกองทุนเทคโนโลยีและ Innovation อื่น ๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้ว่า B-INNOTECH เป็นอีกหนึ่งกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจเลยทีเดียว ในตอนนี้..
คำเตือน:
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อนู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過9萬的網紅Smart Travel,也在其Youtube影片中提到,00:00 開始 00:01 多款已經煮好嘅菜式食譜 00:33 全港至平 00:45 整熱即食的雞汁花膠炆冬菇 01:21 Cash整蠱作怪 01:36 香港新網購”拾平Shoping” $99專區 01:49 拾平英文名SHOPING, 少了個P字? 02:08 上拾平Shoping, 享受什麼...
shopify price 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
Shopify บริษัทใหญ่สุดของแคนาดา ที่มีอายุแค่ 16 ปี /โดย ลงทุนแมน
ประเทศแคนาดา มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก
อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเกษตร
รวมถึงมีอุตสาหกรรมยานยนต์ ภาคบริการ สถาบันการเงิน และการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง
แต่เชื่อหรือไม่ว่า บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของแคนาดาในขณะนี้
กลับเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม E-commerce ชื่อว่า “Shopify” ซึ่งเพิ่งดำเนินกิจการมาได้แค่ 16 ปีเท่านั้น
เรื่องราวของบริษัทนี้เป็นอย่างไร ทำไมถึงก้าวแซงหน้าธุรกิจอื่นได้อย่างรวดเร็ว?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
สัมผัสเทคโนโลยีรูปแบบใหม่จากสตาร์ตอัปไทย Blockdit
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ชื่อ Shopify ดูเหมือนจะคล้ายชื่อ Spotify
แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้ว Shopify ตั้งบริษัทก่อน Spotify เสียอีก
Shopify เป็นบริษัทเทคโนโลยีจากประเทศแคนาดา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2004 โดยกลุ่มเพื่อน 3 คน คือคุณ Tobias Lütke, Daniel Weinand และ Scott Lake (Spotify ตั้งปี 2006)
เดิมที พวกเขาตั้งใจจะหาซื้อสโนว์บอร์ดทางอินเทอร์เน็ต แต่ก็ไม่มีสินค้าของเว็บไซต์ไหนที่ถูกใจ สุดท้ายเลยสร้างร้านค้าออนไลน์ขายอุปกรณ์สโนว์บอร์ดขึ้นมาเสียเอง
ในเวลาต่อมา เขาทั้งสามได้เล็งเห็นโอกาสการทำธุรกิจเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ถึงแม้ตลาด E-commerce มีเจ้าใหญ่อย่าง Amazon ที่รวบรวมสินค้าจากหลากหลายแห่ง มาเสนอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อในที่เดียว
อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้ประกอบการอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการขายสินค้าบนร้านออนไลน์ของตัวเองมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ยังขาดเครื่องมือและประสบการณ์ในการบริหารเว็บไซต์ให้ดึงดูดลูกค้า
บริษัทจึงตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ มาเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนา E-commerce และตั้งชื่อใหม่ว่า Shopify
โดย Shopify นั้นคิดค่าบริการด้วยกลยุทธ์ Subscription มีราคาแพ็กเกจตั้งแต่ 900-9,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสมาชิกจะสามารถใช้ฟังก์ชันต่างๆ เพื่อสร้างและออกแบบเว็บไซต์ค้าปลีกออนไลน์ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
รวมทั้งมีฟีเจอร์พิเศษที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ เช่น ข้อมูลวิเคราะห์ตลาด, การเชื่อมต่อโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย, ระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลัง, ระบบจัดส่งสินค้า, ระบบชำระเงิน
แล้วผลการดำเนินงานของ Shopify เป็นอย่างไรบ้าง?
ในปัจจุบัน มีร้านค้าสมัครใช้บริการแพลตฟอร์ม Shopify มากกว่า 1 ล้านบัญชี จาก 175 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นผลประกอบการบริษัท ดังนี้
ปี 2018
ยอดซื้อขายสินค้าบนร้านของสมาชิก 1,280,000 ล้านบาท
รายได้ 34,000 ล้านบาท
ขาดทุน 2,000 ล้านบาท
ปี 2019
ยอดซื้อขายสินค้าบนร้านของสมาชิก 1,900,000 ล้านบาท
รายได้ 49,000 ล้านบาท
ขาดทุน 3,900 ล้านบาท
6 เดือนแรก ปี 2020
ยอดซื้อขายสินค้าบนร้านของสมาชิก 1,490,000 ล้านบาท
รายได้ 33,700 ล้านบาท
กำไร 230 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า บริษัทกำลังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครึ่งแรกของปีนี้ ที่ยอดซื้อขายสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 85% เช่นเดียวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และที่สำคัญคือพวกเขาเริ่มมีกำไรแล้ว
สาเหตุเนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมมาจับจ่ายใช้สอยทางโลกออนไลน์กันมากขึ้น อีกทั้งบรรดาร้านค้าต่างๆ ก็หันมาเปิดช่องทางขายแบบ E-commerce ทดแทนหน้าร้านจริงตามห้างสรรพสินค้าที่ถูกปิดลงชั่วคราว
ทั้งนี้ Shopify จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ตั้งแต่ปี 2015 โดยล่าสุดมูลค่าบริษัทได้พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 3,800,000 ล้านบาท
ซึ่งสูงกว่าตอน IPO เข้าตลาดถึง 88 เท่า และสูงกว่าจุดต่ำสุดช่วงวิกฤติ COVID-19 ราว 3 เท่า
ส่งผลให้ Shopify กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่สุดของประเทศแคนาดา แทนที่แชมป์เก่าอย่างธนาคาร Royal Bank of Canada ซึ่งมีมูลค่า 3,100,000 ล้านบาท และดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 151 ปี
เรื่องราวนี้ แสดงให้เราเห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจ
การที่เทคโนโลยีเข้าไปเชื่อมโยงอยู่ในแทบทุกกิจกรรมของชีวิตประจำวันมนุษย์ ทำให้หลายบริษัทจากอุตสาหกรรมนี้ สามารถสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และมีมูลค่าธุรกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ
ประเทศสหรัฐอเมริกา มี Apple, Amazon, Google, Facebook
ประเทศจีน มี Alibaba, Xiaomi, Huawei, Tencent
หรือแม้แต่ประเทศแคนาดา ก็มี Shopify
ไม่แน่ว่าในอนาคต บริษัทมูลค่าสูงสุดของประเทศไทย
อาจไม่ได้มาจากอุตสาหกรรมพลังงาน, ธนาคาร หรือการท่องเที่ยว
แต่เป็นธุรกิจเทคโนโลยีหน้าใหม่ ที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
สัมผัสเทคโนโลยีรูปแบบใหม่จากสตาร์ตอัปไทย Blockdit
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Shopify
-https://fourweekmba.com/shopify-business-model/
-https://markets.businessinsider.com/news/stocks/shopify-stock-price-earnings-2nd-quarter-revenue-beat-ecommerce-2020-7-1029446405#
-https://financialpost.com/technology/as-shopifys-value-surpasses-rbc-market-curse-gets-put-to-test
-https://finance.yahoo.com/quote/SHOP/
-https://www.marketplacepulse.com/stats/shopify/shopify-gross-merchandise-v olume-gmv-42
shopify price 在 JC 財經觀點 Facebook 的最佳解答
Barron’s年度的Roundtable出刊,今年分成兩期,上一期主要是針對總體經濟與市場進行討論與預測,大致上是稅改與升息對股市與債市造成的影響,以及對科技股與比特幣噴出的看法,還記得去年的文章是眾家一致看好美元發展,大家對於美股都還存有疑慮,認為持續升息後會讓美股在年中轉空,實際是這個情況並沒有發生,美元整年維持弱勢,美股也持續創高。今年的文章很明顯沒人喊空(就算心裡有想也不敢講),一致看好基本面,認為在經濟成長與企業盈餘雙利多加持下「找不到會下跌的理由」,而行情之後又會怎麼發展呢?只能讓我們繼續看下去。我認為總體因素、經濟數據對於投資分析來說,有用,也沒用。在大多頭環境之下,數據好是應該的,股市是景氣的領先指標,等到數據不好的時候,股價早就先跌一波了。最大的行情發生或轉折,永遠是發生在黑天鵝出現的時候。當市場的意見和行動趨於一致之際,往往是行情崩潰的開始。
巴菲特說過:「我們關心的,會是企業在永續經營下的必要條件,而不會因為環境經濟因素影響,就讓我們賣出企業的股票。」簡單來說,就是不要看總經投資,而是要看公司價值。投資框架應該是自上而下思考,自下而上選擇。自上而下思考,是從宏觀經濟和產業發展的角度來選定行業範圍,而自下而上選擇,則是在這個行業中,尋找優秀的公司。我認為,在總體經濟、行業發展與個別企業三個因素下,行業發展是最重要的考量因素,唯有行駛在正確的賽道上,才會有長遠的發展之路。再來就是個別企業的基本面因素與價格因素考量,基本面好,但價格貴的股票,與基本面差,價格貴的股票先去除,縮小決策範圍,剩下的基本面佳,價格又便宜的股票,當選擇變少的時候,每件事就會變得愈清晰,也就愈能做出正確的判斷。
這一期Barron’s則是每一位參與成員提供看好的股票,包括Meryl Witmer、William Priest、Henry Ellenbogen、Jeffrey Gundlach、Paul Wick、Abby Joseph Cohen、Oscar Schafer、Mario Gabelli、Scott Black,並對選擇這些股票的原因做出說明。雖然預測不一定百分之百正確,但這些內容其實都是滿好的線索,可以對今年股市有一個整體的大方向,根據後續得到的資訊,持續不斷的修正,是投資人基本的功課。有些投資人會依據一些基金經理人的持股進行跟單策略,這個方法確實是一個好方法。但是在投資之前,最好還是要了解這筆交易的操作邏輯,買進的原因與持有期間,這也是投資人提升自我的最好方式。一般投資人跟基金經理人的操作方式不同,最主要還是在持有期間與虧損的承受程度,可是若在投資之前沒有考慮清楚,就有可能會面對虧損的情況而不知如何是好。
因為每個經理人的篇幅都還滿長的,目前剛讀完Henry Ellenbogen,之前粉絲團也有介紹過他的文章。T. Rowe Price Corporate的Henry Ellenbogen自2010年起開始管理的New Horizons (ticker: PRNHX)基金,去年的投資報酬率達31.5%,近5年的績效約17.6%。其基金的投資組合,多配置於上市或未上市、小型且成長快速的企業。著名的投資案例包括 Twitter(TWTR), Netflix(NFLX), Work Day(WDAY)及Grubhub(GRUB). Bloomberg稱他為“man who taught mutual funds how to invest in startups”。
Henry Ellenbogen提到六檔股票,其中包括轉機型、公司結構轉型及具有成長潛力的平台公司。
第一檔是Equifax(EFX),是一家提供消費者信用報告的機構,2017年網路安全的問題讓股價在八月後下跌近乎腰斬,不過最近又漲回120塊左右,他認為這次的危機只會造成短期的影響,並對公司的商業模式與競爭優勢深具信心。
第二檔是Vail Resorts(MTN),擁有世界各地的豪華度假酒店。由於今年冬天氣候因素,股價下跌13%,但Ellenbogen認為公司CEO Robert A. Katz商業頭腦極佳,在收購與投資方面,Vail也是唯一擁有國際業務的度假村業者。
第三檔是Bright Horizons Family Solutions(BFAM),是一家托兒服務公司,擁有1037個托育中心,在美國跟英國都是市場領導者。BFAM的主要客戶非個人,而是提供給企業做為員工的福利待遇,預期公司未來的獲利潛能可以建立在其高端市場的獨特服務,與千禧一代的需求成長之上。
最後一檔是ServiceMaster Global Holdings(SERV),在下半年會有分拆計畫,分拆後的American Home Shield(AHS)將成為美國家庭保修(故障系統和設備)的全國領導者,兩家公司分別佔有市場20%的份額,強化未來在產業中成長性。
另外兩家平台公司則是Shopify(SHOP),一家加拿大電子商務公司,也是全球最大的電子商務建站平台服務商之一,及Grubhub(GRUB),提供線上訂餐服務,消費者可透過線上及行動裝置訂餐平台訂購當地餐廳餐點,並且提供外送服務。不過這兩家公司Ellenbogen在早期就已經投資,現在看起來股價都偏貴,但他認為若產業的發展仍在賽道的早期之上,長期來看,後續成長的驅動力仍有可能為投資者帶來充沛的收益。
先不論這幾檔股票未來表現如何,滿明顯可以看出來,不管是新創產業或是傳統產業,在互聯網浪潮下如何轉型,互相合作與競爭,關乎企業能否繼續生存下去。新創產業要持續成長,勢必要持續開拓新的市場,而傳統產業也需要新科技的協助,讓商品與服務的渠道可以延伸到消費者,吸引目前消費主力族群的目光,才是企業持續創新與獲利的原動力,進一步推升股價的正向表現。
shopify price 在 Smart Travel Youtube 的最佳解答
00:00 開始
00:01 多款已經煮好嘅菜式食譜
00:33 全港至平
00:45 整熱即食的雞汁花膠炆冬菇
01:21 Cash整蠱作怪
01:36 香港新網購”拾平Shoping” $99專區
01:49 拾平英文名SHOPING, 少了個P字?
02:08 上拾平Shoping, 享受什麼優質生活?
02:21 Cash要借歪, Youtube鐵粉Bonnie Chan出場
02:31 Bonnie 出色家常菜
02:39 香港品牌
02:43 什麼叫拾平
02:50 第一必買, 佳‧鮮雞汁花膠炆冬菇,煮法及味道
03:47 一個人食分幾餐煮麵食, 更加抵食
04:11 雞汁花膠炆冬菇有幾好?
04:23 Cash唔知醜
04:30 第二必買,峇峇娘惹喇沙即煮醬料
04:31 峇峇娘惹喇沙麵
04:50 份量及煮法
05:10 買配料價錢
05:32 Cash發神經
05:39 醬料烹調方法
05:59 湯料製成品
06:16 醬料香味濃郁
06:49 峇峇娘惹喇沙即煮醬料有幾好食抵食
06:59 第三必買,綿香沙爹醬串燒
07:12 綿香沙嗲醬有幾巴閉
07:31 綿香沙嗲醬可以點食
07:47 點解喺超市買唔到綿香沙嗲醬
08:19 氣炸鍋串燒
08:22 綿香沙嗲醬有幾好食
08:31 丹尼廚房
08:35 丹尼廚房餸包新組合
09:01 泰式金不換香茅肉碎
09:02 煎燶邊蛋
09:14 煮法
09:27 點食最好味
09:50 丹尼廚房餸菜多
09:58 第五必買,佳‧鮮 | 慢煮雞胸
10:06 慢煮雞肉份量
10:11 慢煮雞胸肉食法
10:21 沙律配料
10:55 沙律醬
11:08 Cash 走夾唔抖
11:10 第六必買, 麥美家 | 鮑魚蝦子麵
11:18 麥美家 | 鮑魚蝦子麵煮法和特色
11:30 麥美家 | 鮑魚蝦子麵味道
11:45 第七必買, 品素的羽衣甘藍素肉餃
11:50 何謂新豬肉
11:56 羽衣甘藍營養和功效
12:30 另一種口味,就是黃金南瓜甜煎餃
12:37 氣炸鍋煮法, 可以避免太乾
13:10 寸嘴Cash
13:22 第八必買, 香記加啡Cold brew & 掛耳奶茶
14:04 港式西冷紅茶掛耳濾包
14:57 第九必買, 佩夫人草本潤喉糖柑桔檸檬味
15:32 草本潤喉糖川貝枇杷味,
15:49 珮夫人就有這歌鼻爽貼
16:40 草本清熱潤
17:02 第十必買, 添寶方
按一下下面條link, 一次過睇曬影片裏面介紹嘅產品:
https://www.shoping.com.hk/product-category/youtuber-%e6%8e%a8%e4%bb%8b/
題目: 【全港最平 】雞汁花膠炆冬菇, 兼十大必買, 香港新網購”拾平Shoping” Price Less For More
#全港最平 #食譜 #優惠價 #香港品牌 #最抵買 #本地必買 #優質生活 #慳錢 #拾平shoping #香港網購
?合作邀約請洽
gold7778@gmail.com
https://www.instagram.com/gold7778t/
成為這個頻道的會員並獲得獎勵:
https://www.youtube.com/channel/UCIuNPxqDGG08p3EqCwY0XIg/join
請用片右下角調4K睇片。 .
shopify price 在 五哥頻道 Youtube 的最佳貼文
作為加密貨幣的龍頭比特幣於2020年12月升破歷史高位,突破兩萬美元,於短短不足24小時再升二十幾巴百分比,又再次使更多人關注虛擬貨幣,如果你未入這個市場,可以睇返我上年幾條影片
想買Bitcoin就去呢到?http://bit.ly/2DLkwyZ
?$1優惠最後幾日?https://bit.ly/34ICUVT
?香港聯盟行銷? https://hkaffiliate.com
⚡網絡輕鬆賺錢? https://tinyurl.com/y3rrkbfh
?Udemy課程? https://tinyurl.com/y4axge2a
✅Shopify教學? https://www.patreon.com/5gor
?五哥上左Youtuber GO好後悔?! https://youtu.be/YgVinPvvnTY
記得比個Like同訂閲我頻道? https://bit.ly/2F6Y2M8
#香港聯盟行銷 #Builderall香港 #HKAffiliate
shopify price 在 五哥頻道 Youtube 的最讚貼文
用以下 AAX 邀請連結開戶,頭3個月合約手續費有9折優惠!
依家AAX仲做緊新客註冊優惠,最高可$55美金等值嘅比特幣贈金:
✅https://bit.ly/3gakjWy
?Udemy課程? https://tinyurl.com/y4axge2a
✅Shopify教學? https://www.patreon.com/5gor
✅陰謀? https://www.patreon.com/5GorConspiracy
?請打賞支持?https://www.paypal.me/5minutesmaster
?五哥上左Youtuber GO好後悔?! https://youtu.be/YgVinPvvnTY
⭐️記得比個Like同訂閲我頻道? https://bit.ly/2F6Y2M8
?打賞鼓勵五哥?https://paypal.me/5minutesmaster
?????? 精選系列
陰謀+QAnon+QMap?http://bit.ly/2RW8oVd
WordPress自建網站?http://bit.ly/2TG34Ti
身心靈+吸引力法則?http://bit.ly/33F4LFg
Shopify廣東話教學?http://bit.ly/2zj5myF
建立網站教學?http://bit.ly/2UphcQz
五哥訪問系列?http://bit.ly/2KGNT9z
陰謀系列? http://bit.ly/2RW8oVd
比特幣教學?http://bit.ly/2Zh7oh2
生活小百科?http://bit.ly/31LEB1N
網上賺錢?http://bit.ly/2YLyt98
寫App教學?http://bit.ly/2HMnfwT
QAnon?http://bit.ly/2TIHKfU
旅遊?http://bit.ly/2NeajAN
YouTube秘技?http://bit.ly/2G8qBZr
樓市+時事+財經?http://bit.ly/2z8SlaI
Affiliate Marketing 聯盟行銷 教學?http://bit.ly/2YWhXXH
網址:https://www.5MinutesMaster.com
Medium:https://medium.com/@5minutesmaster
facebook:https://bit.ly/2QYmNyE
#五哥教學 #五維時空 #香港YouTuber