สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง
เปิดสูตรเฟ้นหา หุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
BBLAM x ลงทุนแมน
อังคารที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ลงทุนแมนได้ชวนผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง
มาพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นการเฟ้นหาหุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
โดยเริ่มตั้งแต่อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ไปจนถึงผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในไตรมาสที่ 2
ตัวเลขเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณอะไร ?
เราจะมีวิธีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง..
มาเริ่มต้นกันที่ สรุปภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกา เกิดอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา ?
ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกา มีการทำ QE หรือ การซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ เพื่อให้ระบบมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นสามารถดำเนินต่อไปได้
โดยประเด็นหลักที่ตลาดยังคงจับตามองในปีนี้คือ การลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า QE Tapering ซึ่งประธาน FED ออกมาพูดว่า การทำ Tapering จะเริ่มขึ้นในปีนี้ และเป็นการตัดสินใจแยกกันกับ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หมายความว่า หากเริ่มทำ Tapering ดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นจะต้องปรับขึ้นในทันที
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาจะยังใช้นโยบายการเงินที่ค่อนข้างผ่อนคลายต่อไป ทำให้ตลาดสหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นขาขึ้น และเงินก็จะวิ่งเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
ซึ่งทางกองทุนบัวหลวงคาดว่า FED จะค่อย ๆ ลดการทำ QE ลงโดยจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน และ FED มีแนวโน้มจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปี 2024 แต่ก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ
ดังนั้น นโยบายโดยรวม จึงยังเอื้ออำนวยให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ไปอีกสักระยะ
แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้ FED ชะลอการทำ QE Tapering ได้ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน ที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไปมาก
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ เงินเฟ้อ ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.4%
ถึงแม้ว่า ราคา สินค้าโภคภัณฑ์บางตัว ลดลงมาแล้ว เช่น ราคาไม้ ทองแดง แต่ราคาบ้านและค่าเช่าบ้านในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ลดลงมา ก็อาจทำให้เงินเฟ้อยังคงสูงได้
แล้วโหมดการลงทุนช่วงนี้ต้องปรับ หรือจับสัญญาณต่ออย่างไรดี ?
กองทุนบัวหลวงก็เชื่อว่าในระยะสั้น เงินจะยังไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และเงินยังอยู่ในหุ้นสหรัฐอเมริกา
โดยในเดือนที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนหลายรายในสหรัฐอเมริกาเข้าลงทุนกลุ่ม Healthcare มากที่สุด
จากความต้องการหาการลงทุนในเชิงคุณภาพ และหุ้นใหญ่ที่ปลอดภัย และที่ผ่านมากลุ่ม Healthcare ยังถือเป็นกลุ่มที่ Laggard หรือเติบโตได้ช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
แต่ถ้าหากดูกลุ่มที่ผู้จัดการกองทุนมีการถือครองมากที่สุด ก็ยังคงเป็นกลุ่มเทคโนโลยี
ถ้าเทียบระหว่างเทคโนโลยีที่เป็น Hypergrowth อย่างเช่น หุ้น Tesla, Roku, Shopify กับ ดัชนี Nasdaq ที่ เป็นหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon ก็จะเห็นว่าในภาพรวม เงินไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth มาเข้าฝั่ง Nasdaq
ซึ่งปริมาณเงินส่วนที่ไหลเข้ามาในตลาด Nasdaq ยังอยู่ที่ประมาณค่าเฉลี่ย ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าเกิดฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี อย่างที่หลายคนกังวล
โดย Nasdaq ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเพิ่มมา 18% ประกอบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีผลกำไรที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
กองทุนบัวหลวงมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อไป แต่อาจต้องใช้วิธี Active Management หรือการบริหารพอร์ตเชิงรุก เพื่อหาบริษัทที่มูลค่ายังไม่สูงเกินไป
นอกจากนั้น กองทุนบัวหลวงยังมองว่าในสามเดือนสุดท้ายของปีนี้ เงินจะยังอยู่ในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากมีความสามารถในการบริหารจัดการโควิด 19 ได้ดี และมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็ว
สำหรับรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตได้ดีมาก
ผลกำไรภาพรวมของตลาด ออกมาสูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ จากห่วงโซ่การผลิตที่มีปัญหาและค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งกองทุนบัวหลวงมองว่า เป็นเพียงระยะสั้น และจะคลี่คลายในระยะปานกลางจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
คำถามต่อมาคือ S&P 500 จะสามารถไปได้ต่ออีกหรือไม่ และแพงไปแล้วหรือยัง ?
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมา ตามกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นมาต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการเป้าหมาย S&P 500 เป็น 4,600 (ตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ 4,500) หมายความว่า ดัชนี S&P 500 จะยังคงไปต่อได้
อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดการเงินที่สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก รวมไปถึงมีบริษัทที่มีคุณภาพดีมากที่สุดในโลก ทำให้ P/E ที่ 20 เท่า ก็ยังสามารถลงทุนได้
แล้วควรลงทุนเมื่อไร ดอกเบี้ยขึ้น จับจังหวะอย่างไร ?
ถ้าเราลองย้อนไปดูสถิติ 12 เดือนก่อนที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ย จะเห็นว่าตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นครั้งแรก
โดยกองทุนบัวหลวง แนะนำหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจ คือให้เข้าสะสมแบบมีวินัย ลงทุนแบบสม่ำเสมอ หรือ DCA เนื่องจากการจับจังหวะตลาดสหรัฐอเมริกา หรือไม่ว่าตลาดไหน ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ทีนี้หลายคนคงกังวลว่า เงินทุนเริ่มไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth แล้วเงินส่วนนี้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ?
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือปัจจุบัน เงินทุนไหลออกจากหุ้นในกลุ่ม Hypergrowth แต่ปรากฏว่าดัชนี Nasdaq นั้นยังคงปรับตัวสูงขึ้น ที่เป็นแบบนี้เพราะเงินกำลังไหลไปยังบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ นั่นเอง
หลายคนอาจมองว่า บริษัทเหล่านี้น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 แต่กลับกลายเป็นว่า จากวิกฤตินี้ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
โดยสังเกตได้จากรายได้ของบริษัทเทครายใหญ่ ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องของแผนในอนาคตที่น่าจับตามอง ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Facebook และ Microsoft
Facebook เป็นบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, WhatsApp ที่มีรายได้หลักมาจากค่าโฆษณาออนไลน์
โดยจุดเด่นของ Facebook คือ ความสามารถในการยิงโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ พร้อมทั้งยังมีโอกาสเติบโตไปกับอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์อีกมาก เนื่องจากโควิด 19 ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
สำหรับแผนในอนาคตของ Facebook นั้นยังคงเป็นเรื่องของแผนการปรับตัวให้บริษัทเป็น บริษัท “Metaverse” หรือโลกแห่งการผสมผสาน ระหว่างโลกจริงและโลกเสมือน อย่างเต็มตัว
โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook มองว่า โลกของ Metaverse จะกลายเป็นอนาคตของโลกอินเทอร์เน็ต โดยล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัว Horizon Workrooms ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปประชุมได้แบบเสมือนจริง ผ่านตัวละคร Avatar
มาต่อกันที่บริษัทซอฟต์แวร์ที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง “Microsoft” ซึ่งในปีที่ผ่านมายังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมูลค่าบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก ผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังคงเติบโต 17% จากบริการ Intelligence Cloud ที่เติบโตได้ดี
แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องของแผนในอนาคต อย่างการทำโลกเสมือน หรือที่ทาง Microsoft เรียกว่า Digital Twin ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำ Metaverse ของ Facebook แต่จะเป็นการก๊อบปี้ของจริงมาไว้บนโลกออนไลน์แทน เช่น จำลองสถานที่ จำลองตึก เพื่อนำมาใช้ทดสอบการบินของโดรนก่อนเอาออกไปใช้งานจริง
ทั้งนี้ในส่วนของ Theme โลกเสมือนนั้น อาจมีความเสี่ยง เรื่องที่จะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย กว่าที่เราจะได้สัมผัสแบบเต็ม ๆ
แต่นี่เป็นเหมือนการส่งสัญญาณว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายรายกำลังตื่นตัวกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และมีการเตรียมพร้อม มองหาช่องทางการเติบโตใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า New S-Curve อยู่ตลอดเวลา
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า แล้วกระแสเงินลงทุนที่ดูมีการเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางเช่นนี้ จะมีผลกระทบกับกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE แค่ไหน ?
สำหรับกองทุน B-USALPHA นั้น หลายคนอาจจะคิดว่ากองนี้มีแต่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเดียว
แต่ถ้ามาดูสัดส่วนของหุ้นในพอร์ตการลงทุนนั้นจะพบว่า กองทุนพยายามให้ความสมดุลระหว่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กับกลุ่มวัฏจักรในสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนนี้มีแบ่งส่วนการลงทุนด้วยกันหลัก ๆ 3 อย่าง คือ
1. กลุ่ม Digital Advertising เช่น Facebook, Pinterest, Snap
2. กลุ่ม สถาบันการเงิน เช่น Morgan Stanley, PayPal, Square
3. กลุ่ม Technology Enabled หรือก็คือ ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรม เช่น Deere & Company, Freeport-McMoRan, Zillow Group
ทั้งกลุ่ม Digital Advertising และ Technology Enabled นั้นยังมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการเปิดเมือง
ส่วนการลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงิน จะช่วยสร้างสมดุล และลดความเสี่ยงของพอร์ตในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ที่ทำให้กลุ่มของธุรกิจสถาบันการเงินนั้นได้รับประโยชน์ไปด้วย จากอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับสูงขึ้น
ส่วนกองทุน B-FUTURE นั้น มีการกระจายลงทุนในธุรกิจ 3 กลุ่มคือ เทคโนโลยี Hypergrowth, อุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจ Theme เปิดเมือง
โดยในส่วนของกลุ่ม Hypergrowth นั้น ทางผู้จัดการของกองทุน ก็ได้เน้นอย่างมาก กับการลงทุนในหุ้นที่ยังมี Valuation ไม่สูงจนเกินไป
นอกจากนี้ ทางกองทุนยังเน้นการลงทุนใน Theme อนาคต ไม่ได้เจาะจงในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตตามสถานการณ์การลงทุนต่าง ๆ
ด้วยนโยบายการบริหารแบบ Active Management ทำให้ B-FUTURE สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
เช่น หากมองว่าในระยะยาว หุ้นกลุ่มเอเชียหรือจีน ยังมีโอกาสเติบโตมาก ความกดดันของรัฐบาลจีนคลี่คลายลง แล้วยังมี Valuation ที่ไม่สูงเกินไป ทางกองทุนก็สามารถปรับน้ำหนักพอร์ตมาลงในหุ้นเอเชียหรือจีนเพิ่มขึ้นได้
ทำให้เห็นว่า B-FUTURE นั้นเป็นกองทุนที่สามารถทยอยสะสมเข้าได้เรื่อย ๆ และเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลามาก แต่อยากลงทุนในหุ้นแห่งอนาคต
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน จากหุ้นในสหรัฐอเมริกา หรือหุ้นใน Theme อนาคต
ทั้งกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE ก็ยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทน ได้โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล พร้อมคอยปรับพอร์ตการลงทุนให้ในระยะยาว ซึ่งการใช้กลยุทธ์ DCA ทยอยลงทุนทุกเดือนก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจ
คำเตือน
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
同時也有72部Youtube影片,追蹤數超過4萬的網紅五哥頻道,也在其Youtube影片中提到,☕一杯咖啡價錢買個保險?http://bit.ly/5gorVPN ?WordPress 7天濃縮課程?https://bit.ly/3fnRMzW ?$1試用Builderall?https://top1dollar.mmo-guru.com ⚡2021超正POD產品?https://bit.ly...
「shopify theme」的推薦目錄:
- 關於shopify theme 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於shopify theme 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於shopify theme 在 หมอๆ ตะลุยโลก Facebook 的精選貼文
- 關於shopify theme 在 五哥頻道 Youtube 的最佳貼文
- 關於shopify theme 在 五哥頻道 Youtube 的最讚貼文
- 關於shopify theme 在 五哥頻道 Youtube 的最佳解答
- 關於shopify theme 在 Shopify/theme-check - GitHub 的評價
- 關於shopify theme 在 61 Shopify Themes ideas - Pinterest 的評價
- 關於shopify theme 在 How to develop Shopify themes locally? - Stack Overflow 的評價
shopify theme 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse ทำไมคนไทยไม่ควรพลาด ในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ?
BBLAM x ลงทุนแมน
หลังจาก ลงทุนแมน ได้ชวนผู้เชี่ยวชาญหุ้นเทคโนโลยีจากกองทุนบัวหลวง
มาร่วมพูดคุยในเรื่องหุ้นเทคโนโลยีกันแบบเจาะลึก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยมี 2 Speakers มากประสบการณ์จากกองทุนบัวหลวง ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจมากมาย
- คุณเศรณี นาคธน AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
สถานการณ์ความท้าทาย, โอกาสในอนาคต รวมทั้งแนวทางการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คำถามที่ 1 : หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาอีกครั้งหรือยัง ?
สังเกตไหมว่าในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนได้ดีมาโดยตลอด
โดยในปีนี้ ดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Nasdaq ก็ให้ผลตอบแทน 12%
ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจหุ้นเทคอีกครั้ง
อย่างในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราก็คงได้มีโอกาสใช้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lazada, Shopee หรือ Netflix
แต่ถ้าถามว่ามุมมองต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่า สิ่งที่จะทำให้โลกขับเคลื่อนต่อไปได้ก็คือเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการพัฒนา ให้ถูกขึ้น ดีขึ้น และเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึงเรื่องของสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก ส่งผลให้แรงงานมีจำนวนน้อยลง จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์ หรือ AI เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่แนวโน้มการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมกับการแพทย์อื่น ๆ เช่น การหาหมอออนไลน์, การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ, 3D printing ฯลฯ
ซึ่งถ้าถามว่าถึงเวลาของหุ้นเทคโนโลยีหรือยัง ก็จะเห็นได้ว่า ตลาดเริ่มส่งสัญญาณบวกแล้ว เพราะแม้จะมีความชัดเจนในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่หุ้นเทคในช่วงที่ผ่านมาก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคุณเอมได้เสริมว่า ทุกวันนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเทคโนโลยียังไม่เปลี่ยนแปลง และกำไรยังเติบโต อีกด้วย จากเหตุผลที่ว่ามานี้หุ้นเทคโนโลยีจึงเป็น Theme ลงทุนหลักของโลกในระยะต่อไปแน่นอน
คำถามที่ 2 : “เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” ส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีอย่างไร ?
ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) จะส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยี 2 เรื่องสำคัญ นั่นคือ
- ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของบริษัท เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมเงินก็จะสูงตามไปด้วย
- การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Dividend Discount Model (DDM) เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อัตราคิดลดก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อคิดเป็นมูลค่าหุ้นกลับมา จึงทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีลดลง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย นั่นเอง
ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลายประเทศเริ่มเปิดเมืองและมีการเร่งฉีดวัคซีน
จึงเป็นไปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงคาดว่า Bond Yield ต้องปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่ง Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ก็เคยปรับขึ้นไปสูงถึงเกือบ 1.8% จากเดิมที่มีตัวเลข 1%
แต่แล้ว.. เมื่อประกาศอัตราเงินเฟ้อออกมาสูงตามที่นักลงทุนคาดไว้จริง ๆ Bond Yield ที่ปรับขึ้นมารออยู่แล้ว จึงเริ่มกลับปรับตัวลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า Real Yield ที่คำนวณจาก Bond Yield หลังหักเงินเฟ้อคาดการณ์ ยังอยู่ในระดับต่ำ -0.8%
สะท้อนได้ว่า ผลตอบแทนพันธบัตรไม่น่าจะเอาชนะเงินเฟ้อได้
จึงส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจ จากนั้นมาหุ้นเทคโนโลยีก็เริ่มปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ผ่านเครื่องมือ Dot Plot
ยังมองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อาจเกิดขึ้น 2 ครั้งภายในปี 2023
ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้
นักลงทุนจึงมองว่า ยิ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมาเร็วมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดอัตราเงินเฟ้อย่อมลดลง
ดังนั้น Bond Yield คงไปต่อได้ไม่ไกล จึงน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยี อีกด้วย
คำถามที่ 3 : ปัจจัยใดส่งผลต่อ “การปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยี” ในตอนนี้ ?
ปัจจัยแรกคือ Bond Yield
หากถามว่า Bond Yield เท่าไรถึงจะส่งผลต่อตลาดหุ้น คำตอบจากการสำรวจของ Bank of America นั้นอยู่ที่ 2.5% ซึ่งปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ บวกลบไม่เกิน 1.5%
ดังนั้น กว่าที่ Bond Yield จะปรับตัวสูงถึงระดับนั้น อาจใช้เวลานาน ตลาดหุ้นถึงจะเริ่มปรับฐาน
ปัจจัยที่สองคือ Sector Rotation
เมื่อต้นปีเกิดแรงขายของหุ้นเทคโนโลยี ไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาปรับสูง จนกลายเป็น Commodity Supercycle
สะท้อนได้ว่า สินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็น Most Crowded Trade ที่อาจเข้าใกล้จุดสูงสุดไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเริ่มคลายกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ บวกกับผลประกอบการของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่ออกมาดี จึงเป็นเหตุผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง
ปัจจัยสุดท้ายที่หลายคนกังวลคือ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น คนยังจะพึ่งพาเทคโนโลยีอยู่หรือไม่ ?
ซึ่งต้องยอมรับว่า พฤติกรรมหลาย ๆ อย่างได้กลายเป็น New Normal ไปเรียบร้อยแล้ว
อาทิ Work From Home, การช็อปปิงออนไลน์, การสั่งอาหารแบบ Delivery
สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีจะยังคงอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
คำถามที่ 4 : “QE Tapering” กระทบหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่ ?
การปรับลดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า QE Tapering
แม้ว่าจะมีวงเงินลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสถานะอัดฉีดเงินอยู่ดี
โดย QE Tapering เป็นหนึ่งในสัญญาณชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจอาจดีขึ้นแล้วจริง ๆ
เพราะแม้ว่า FED จะลดวงเงินอัดฉีดเงิน แต่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
สะท้อนได้ว่า เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วง Mid-cycle ของวงจรเศรษฐกิจ
ซึ่ง Mid-cycle จะเป็นช่วงที่ระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ได้สูงมาก และเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องได้
โดยปกติแล้วจะส่งผลดีต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าความกังวลเรื่องสภาพคล่องก็ถูก Price In ไปแล้วบางส่วน
เมื่อทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็พร้อมจะไปต่อได้
นอกจากนี้ ต้องให้เครดิตคุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผู้เป็นสุดยอดนักสื่อสาร และเข้าใจตลาดการลงทุน ซึ่งการค่อย ๆ ออกมาพูด ทำให้ตลาดปรับตัวได้
ที่น่าสนใจคือ หุ้นเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา มีเพียงปีเดียวที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบ คือปี 2018 ที่ให้ผลตอบแทน -1.1% จากมรสุมลูกใหญ่ อาทิ Trade War, ทรัมป์ ทวีต และการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีเดียว ส่วนปีอื่นๆ ล้วนให้ผลตอบแทนในอัตราเลขสองหลัก
สะท้อนได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีได้
คำถามที่ 5 : ถ้าอนาคตเกิด “การดูดกลับสภาพคล่อง” หุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม ?
ก่อนหน้านี้ สภาพคล่องได้กระจายตัวไปทั่วตลาดหุ้น แม้แต่ในหุ้นที่ขาดทุนไม่มีกำไร
ดังนั้น เมื่อสภาพคล่องลดลง หุ้นที่มีคุณภาพและมีกำไร เชื่อว่าจะยังไปต่อได้
ต่างจากหุ้นพื้นฐานไม่ดี ยังไม่มีกำไร คงยากที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้
ทีนี้น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ไม่ใช่หุ้นเทคทุกตัว ที่จะน่ากลัวเสมอไป
หนึ่งวิธีที่จะช่วยเฟ้นหาหุ้นเทคในช่วงเวลานี้คือ วิธี Bottom Up
ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานจากตัวธุรกิจ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น Shopify ธุรกิจ E-commerce แบบครบวงจรสัญชาติแคนาดา ทั้งในด้านการตลาด โกดังเก็บของ และบริการขนส่งสินค้า แม้จะมี P/E สูงมาก แต่ก็สร้างกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องได้ นักลงทุนจึงได้เข้าไปลงทุนจนราคาหุ้นปรับตัวสูง 150% ในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม จึงขึ้นอยู่กับการเลือกหุ้น นั่นเอง
โดยลักษณะหุ้นที่มีโอกาสไปต่อก็คือ หุ้นที่ยังไม่แพง หุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ และเป็นหุ้นใหญ่
อาทิ หุ้นกลุ่ม FAANG, หุ้นกลุ่ม Software-as-a-Service (SaaS) ที่ให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ที่มี Recurring Income หรือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ และราคาหุ้นยังไม่แพง ก็น่าจะยังไปต่อได้
คำถามที่ 6 : หุ้นเทคโนโลยี “ลงทุนระยะยาว” ได้ไหม ?
หลายคนอาจจะยังไม่กล้าถือหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเพราะกลัวปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย
ซึ่งคำถามสำคัญคือ หากมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
อิงจากสถิติตั้งแต่ช่วงปี 1990 จนถึงปัจจุบัน FED ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 7 ครั้ง บวกการทำ QE Tapering อีก 1 ครั้ง
ผลปรากฏว่า Sector ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้มาโดยตลอดก็คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ
หรืออย่างในปัจจุบันเอง ที่มีปัจจัยมากระทบมากมาย อย่างเรื่อง Sector Rotation, ภาษีนิติบุคคลฉบับใหม่, กฎหมายเรื่องการผูกขาด แต่กองทุน B-INNOTECH ยังคงเติบโตกว่า 17%
ดังนั้น ทางกองทุนบัวหลวงก็มองว่า อาจไม่จำเป็นต้องดู Timing มาก แต่ให้เน้นจัดพอร์ตการลงทุนโดยให้คงสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีไว้ เพราะถือเป็น Sector ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ ในตลาด
คำถามที่ 7 : ตอนนี้ “ควรเลือกลงทุน” หุ้นเทคโนโลยี อย่างไรดี ?
หุ้นเทคโนโลยีในช่วงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลัก ๆ 3 ประเภท คือ
1. กลุ่ม Hardware เช่น อุปกรณ์ไอที คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร อย่างบริษัท HP หรือ Logitech
2. กลุ่ม Software as a Service หรือว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในบริษัทองค์กรใหญ่ ๆ เช่น Microsoft Office, Salesforce (CRM) และ ServiceNow
3. กลุ่ม Semiconductor เช่น ชิปเซต การ์ดจอ อย่าง TSMC และ NVIDIA
ซึ่งกลุ่มที่ 2 และ 3 นั้นตลาดจะให้ P/E ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูง ต่างกับกลุ่มที่ 1 ที่อาจเติบโตได้ดีแค่ในช่วงโควิด แต่เป็นสินค้าที่คนไม่ได้ซื้อบ่อย ทำให้ตลาดยังให้ราคาค่อนข้างต่ำ
อย่างบริษัท NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักขุดเหรียญคริปโทฯ ที่มี P/E สูงถึง 76 เท่า แต่ก็มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในไตรมาสที่ผ่านมาสูงถึง 100% ในขณะที่กลุ่ม Hardware อย่าง HP หรือ Logitech นั้นจะมี P/E อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีแต่ละกลุ่มนั้น ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น การเลือกกองทุนที่มีนโยบายบริหารแบบ Active Management หรือ กองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง จึงเป็นนโยบายที่เหมาะกับการลงทุนใน Theme เทคโนโลยีนี้ เพราะจะช่วยให้กองทุนมีความยืดหยุ่นในการคัดเลือกหุ้นมากขึ้น โดยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่เห็น Upside ได้เยอะกว่าได้ เมื่อเทียบกับแบบ Passive Management ที่ลงทุนอิงตามดัชนีเท่านั้น
คำถามที่ 8 : แล้ว “B-INNOTECH” เลือกหุ้นเทคโนโลยีเข้าพอร์ตอย่างไร ?
วิธีคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุน Fidelity ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ B-INNOTECH
จะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ
- Growth คือ หุ้นบริษัทที่เน้นการสร้างนวัตกรรมทันสมัย มีแนวโน้มเติบโต และเป็นผู้นำได้ในระยะยาว
- Cyclical คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และที่จะเติบโตไปตามสภาพเศรษฐกิจได้
ตัวอย่างเช่น หุ้นผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Semiconductor ที่จะยังเติบโตต่อไปได้
- Special Situation คือ หุ้นบริษัทคุณภาพในช่วงเวลาไม่ปกติ
เมื่อกองทุนเห็นบริษัทคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
หากบริษัทนั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้สูง น่าสนใจในอนาคต ก็จะเข้าไปลงทุนเก็บสะสมไว้
ดังนั้น การเลือกหุ้นเทคโนโลยีของกองทุน B-INNOTECH ที่มักจะลงทุนในหุ้นใหญ่
ลักษณะไม่หวือหวา เช่น Alphabet, Microsoft
ด้วยพื้นฐานของการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม เป็นธุรกิจผู้นำในกลุ่ม
รวมทั้งเป็นธุรกิจมีรายได้และกำไรที่มีคุณภาพ และต้องเติบโตต่อเนื่องในอนาคตด้วย
ซึ่งการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่, ธุรกิจเทคโนโลยีพื้นฐาน และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการค่อยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้ B-INNOTECH เป็นกองทุนที่มีความผันผวนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกองทุนเทคโนโลยีและ Innovation อื่น ๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้ว่า B-INNOTECH เป็นอีกหนึ่งกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจเลยทีเดียว ในตอนนี้..
คำเตือน:
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อนู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
shopify theme 在 หมอๆ ตะลุยโลก Facebook 的精選貼文
100 ข้อ ธุรกิจขายของออนไลน์ (ยาวมาก)
สืบเนื่องจากวิกฤต COVID-19 ทำให้ทุกอย่างต้องปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์แบบไม่มีทางเลือก ผมเองในฐานะคนที่อยู่ในวงการนี้ จึงอยากแชร์ประสบการณ์บางส่วนที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ทุกคนได้อ่านครับ
บทความนี้จริงๆเขียนไว้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เก็บไว้ยังไม่ได้โพสต์ ผ่านมาจนสถานการณ์ดีขึ้น และเมื่อดูเหมือนจะเกิดวิกฤตอีกครั้งจึงคิดว่านำมาโพสต์น่าจะมีประโยชน์กับคนอ่านไม่มากก็น้อยครับ ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ตรงของตนเอง
อาจจะเป็นเรื่องราวใหม่ๆ แนวใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในเพจผมมาก่อนเลย ที่ผ่านมามีแต่เรื่องเที่ยวซะเยอะ ถือว่าลองดูมุมมองใหม่ๆ ท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้และผ่านไปด้วยกันนะครับ
บทเริ่มต้น
1. วิกฤต COVID-19 เข้ามา เป็นการบ่งบอกว่าทุกธุรกิจที่ไม่ได้อิงกับออนไลน์มีความยากลำบากสูงมากในเวลานี้
2. ธุรกิจออนไลน์เป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจที่ใช้ทุนต่ำและมีความเสี่ยงต่ำมากที่สุด มาแต่ตัวก็สามารถเริ่มธุรกิจได้ทันทีขอเพียงมีข้อต่อไป
3. สำหรับคนเริ่มต้นทำธุรกิจที่ "ไม่มีทุน" คุณต้องมีสิ่งอื่นทดแทนคือ "แรง" , "ความบ้า" , "พร้อมที่จะไม่มีคำว่าว่างอีกต่อไป" สิ่งเดียวที่ทดแทนเงินได้คือเวลาเท่านั้นสำหรับผู้ที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจ
4. หลายคนบอกว่าให้เริ่มทำธุรกิจจากสิ่งที่รัก เพราะจะได้รู้สึกว่ามีความสุขในทุกวันที่ได้ทำมัน ผมเห็นด้วยอย่างมาก เพราะเราจะไม่มีวันเบื่อเวลาที่เรานั่งค้นคว้า หาข้อมูล และสุดท้ายคือการเอามันมาขาย
5. หลายคนบอกอีกเช่นกันว่า เวลาทำธุรกิจอย่าเริ่มทำในสิ่งรัก เพราะถ้าคุณทำมันพลาด คุณอาจจะเกลียดมันไปตลอดกาล อันนี้ผมไม่เห็นด้วย เพราะถ้าแค่เริ่มต้นก็ไม่อยากทำมันแล้ว เราจะไปขายสิ่งที่เราไม่รักให้คนอื่นได้อย่างไร
6. ของทุกสิ่งในโลกนี้ขายได้ ไม่เชื่อลองไปเปิดดูเว็บไซต์อย่าง Ebay คุณจะพบกับสินค้าชิ้นเล็กๆอย่างยาหม่องที่อาจส่งไปขายต่างประเทศ แต่ถ้าจะเอาในประเทศไทยก็ลองดูเว็บไซต์อย่าง Lazada หรือ Shopee แล้วลองคิดดูว่ายังมีอะไรที่ยังไม่ได้ถูกนำมาขายบนโลกออนไลน์อีก
7. สินค้าที่แนะนำให้ลองเอามาขาย ควรเป็นสินค้าที่ราคาทุนต่ำ หรือ ถ้าเป็นสินค้าที่มีคนมาฝากเราขายอันนี้จะดีมาก เพราะเท่ากับเราจะลงแค่แรงอย่างเดียวเรียกว่า Dropship
8. ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ที่เห็นในเว็บ ไม่มีหน้าร้านจริงๆ ไม่มีสตอคของเองจริงๆ เขาทำหน้าที่เป็นแค่ตัวกลางในการขายสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์ของเขาเท่านั้น นี่คือพลังของ online ecommerce
9. คำว่า E-commerce คือการทำการขายออนไลน์ โดยที่เราอาจจะมีหรือไม่มีหน้าร้านก็ได้ ต่อไปนี้จะเป็นคำศัพท์ที่คุณต้องรู้ถ้าจะเข้ามาตลาด E-commerce
E-marketplace
10. ตั้งแต่ข้อที่ 10 จนถึง 64 จะทำให้การขายเราถึงหลักล้านบาทได้ไม่ยากถ้าทำได้ทั้งหมด
11. E-Marketplace พูดง่ายๆคือ เว็บไซต์ที่ให้เราเอาของไปขายได้เลยแบบง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการทำเว็บอะไรเลย เช่น Lazada, Shopee, JD Central อันนั้นคือของไทย แต่ถ้าเป็นของต่างชาติเช่น Alibaba, Taobao , Amazon, Ebay อะไรก็ว่าไป ข้อดีของ marketplace คือ ใช้งานได้ง่ายมาก ลงข้อมูลก็ง่าย ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ทุกอย่างจะเรียบร้อยพร้อมขายขึ้นเว็บ แชร์ลิงค์ให้เพื่อนได้ทันที สำหรับผู้เริ่มต้นให้เริ่มที่แหล่งปลาชุกชุมที่สุดก่อนคือ Lazada หรือ Shopee
12. E-Marketplace มีหลายแบบ เมื่อสักครู่กล่าวถึงกลุ่มรวมๆ ทั้งนี้ยังมีกลุ่มที่ marketplace แบบเฉพาะเจาะจงเป็นหมวดหมู่แยกไปโดยเฉพาะตามแต่ละกลุ่มสินค้าเลยเช่น กลุ่มเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้าน Nocnoc หรือกลุ่มเฉพาะเจาะจงอื่นๆ
13. E-Marketplace แบบที่พิเศษอื่นๆเช่น lnwshop ที่จะเป็นทั้ง marketplace พร้อมกับเป็นเว็บไซต์หน้าร้านหน้าบ้านให้เราในเวลาเดียวกัน
14. ถ้าคุณทำหน้าร้านออนไลน์ แล้วมีหน้าร้านออฟไลน์ด้วย และทั้ง 2 ระบบเชื่อมโยงกัน เรียกว่าเป็น Omnichannel ตัวอย่างก็พวกบรรดาร้านขายของแบรนด์ใหญ่ๆในไทยเช่น Uniqlo แบบนี้ ซึ่งคุณสามารถทำได้ และการ scale คือทำให้โตจะง่ายกว่า
15. แต่ถ้าคุณมีทั้งออนไลน์ และ ออฟไลน์ แต่สองระบบนี้ไม่เชื่อมโยงกัน ตัวใครตัวมันแบบนี้เรียก multichannel ข้อเสียคือทำงานซ้ำซ้อนซึ่งเดี๋ยวจะเข้าใจภายหลังอ่านจบ แต่ถ้ามีทั้ง Online แล้วไปจบที่ Offline จะเรียก O2O
16. ถ้าคิดจะไปขายบน Shopee หรือ Lazada ทุกอย่างมันถูกทำให้ง่ายก็จริง แต่ก็ต้องแลกด้วยวิธีการปกป้องลูกค้าของเขาคือ เช่น Lazada มีการกำหนดให้มีการเก็บเงินปลายทาง ซึ่งลูกค้ามีสิทธิ์ปฏิเสธของๆเราได้ทั้งๆที่เราทำถูกต้องตามกฎทุกอย่าง
17. พวก Shopee / Lazada เวลาได้เงินจากลูกค้าไป เขาจะเก็บไว้ก่อนจนแน่ใจว่าลูกค้าได้รับของแล้ว และไม่มีการร้องเรียน หลังจากนั้นเขาจึงโอนเงินกลับมาให้เรา โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 5 วันหลังจากลูกค้าได้รับสินค้าแล้ว ดังนั้นต้องวางแผนกระแสเงินสดให้ดีๆ ไม่ใช่ขายดีมาก แต่สุดท้ายเรากลับไม่มีเงินใช้เพราะมัวแต่ต้องมานั่งรอเงินจาก Lazada/shopee โอนกลับมา
18. อันนี้สำคัญมากๆต้องติดดอกจันทร์ไว้หลายๆอัน ***** ห้ามพึ่งแต่การตลาดบน Facebook, line, Lazada, Shopee แต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าวันดีคืนดี พวกเว็บไซต์พวกนี้ปิดไป หรือเปลี่ยนนโยบายการแสดงสินค้า หรือคิดค่าธรรมเนียมการตลาดมากขึ้น เงินกำไรที่เราได้อาจจะกระทบได้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญขั้นต่อมาคือ “การสร้างบ้านของตนเอง” *****
19. ข้อดีของ E-marketplace สำหรับผู้เริ่มต้นคือ ให้คิดภาพว่าที่นี่เป็นตลาดที่คึกคักมากคนเดินเข้าออกวันละเป็นล้านคน (traffic) หลักการขายของข้อแรกคือต้องมีลูกค้าก่อน ซึ่งถือว่าไปได้ถูกที่แล้วต้นทุนในการออกหาลูกค้าต่ำ นั่นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมทุกคนเลือกมาที่นี่ แต่ที่นี่คือ “การเช่าบ้าน”
20. สำหรับผู้เริ่มต้นแล้ว การเริ่มที่ marketplace คือสิ่งที่ควรเริ่มทำมากที่สุด ใช้ทุนน้อยที่สุด เมื่อเริ่มพร้อมจึงไปสู่ขั้นตอนถัดไปคือ “การสร้างบ้าน”
Website
21. “การสร้างบ้านของตนเอง” คือ การมีเว็บไซต์ที่ขายสินค้าของเราโดยเฉพาะ ที่จะอยู่ยงคงกระพันไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่นอีกต่อไป พอเรามีบ้านหรือเว็บไซต์ของเรา สิ่งที่ต้องทำต่อมาก็คือทำอย่างไรให้บ้านเราเป็นที่รู้จัก นั่นคือการเรียกว่า “การทำ SEO”
22. “การทำ SEO” ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการทำให้เว็บไซต์ของเราไปโผล่บน Google หน้าแรกเวลาที่คนมาค้นหา ซึ่งแปลเราต้องทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่ชื่นชอบของ Google นั่นเอง โดย Google จะมี robot ที่วิ่งไปทั่วโลกบนออนไลน์คอยดักจับค่าต่างๆ เพื่อเอามาประเมินผลว่า เว็บนี้ดี หรือ เว็บนี้เลว
23. สิ่งที่ Google ชอบ และเราทำตาม ก็จะทำให้เราพาเว็บไซต์ของเราขึ้นสู่หน้าแรกได้ แต่ใช้เวลาไม่ได้ทำวันเดียวได้ บางครั้งใช้เวลานานหลายเดือน สิ่งที่ Google ชอบมีหลายสิบหลายร้อยอย่าง เช่น เว็บไซต์ต้องเข้าได้เร็ว เว็บไซต์ต้องมี keyword ที่ควรต้องมี เนื้อหาในเว็บไซต์ต้อง relevant กับส่วนอื่นๆ ต้องมีรูปภาพ จำนวนคำต่อหนึ่งบทความ และอะไรอีกมากมาย ถ้าจะเอาให้ละเอียดตรงนี้เรียนรู้กันได้หลายชั่วโมงเลยครับ
24. รายละเอียดสินค้าที่ขายต้องเป๊ะ หนักกี่โล กว้างยาวสูงเท่าไร ภาพถ่ายของสินค้าจริง เป็นข้อมูลที่ห้ามลืมที่จะใส่เด็ดขาด
25. SEO สายขาว คือ การทำ SEO อย่างถูกวิธีตามกฎตามข้อ 22 ส่วน SEO สายมืดคือ ใช้ทางลัดแหกกฎพาเว็บไซต์ขึ้นหน้าหนึ่งได้เหมือนกัน โดยอาศัยช่องโหว่ของ Google แต่ถ้าโดนตรวจพบก็จะถูกแบนและเอาออกในที่สุด ถ้าคิดจะทำการค้าแบบอยู่ไปยาวๆ ทำแบบสายขาวดีกว่า
26. คนไทยมากกว่า 70-80% ซื้อของในช่องทางใดก็ตามผ่านโทรศัพท์มือถือ เว็บไซต์ที่ออกแบบไว้ควรเน้นให้เร็ว ใช้งานง่ายบนมือถือเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นเว็บไซต์ที่คุ้นมือคนทั่วไปแล้ว การขายเราก็จะง่ายขึ้น ถ้าเราไปทำเว็บใหม่ออกแบบเองไม่แนะนำ เพราะขั้นตอนลูกค้าอาจจะงงจนหมดอารมณ์ซื้อไปเสียเอง
27. เว็บไซต์สำหรับการขายของมี 2 แบบคือ เว็บสำเร็จรูป และ เว็บที่ถูกทำขึ้นมาใหม่
28. วิธีแรก เว็บสำเร็จรูป ใช้ E-marketplace แบบพิเศษเช่น lnwshop, Tarad.com, Weloveshopping อันนี้เราเพียงไปใส่ข้อมูลร้านค้าของเรา เลือก theme website จดชื่อโดเมนได้ง่าย อัพโหลดสินค้าและข้อมูลเข้าไป เท่านี้ก็พร้อมจะขายของได้แล้วพร้อมกับบ้านของตนเอง ข้อดีที่สุดคือ ต้นทุนต่ำสำหรับคนอยากมีเว็บ ไม่ต้องดูแลระบบหลังบ้าน ไม่ต้องกลัวเว็บล่ม ไม่ต้องกลัวใครมาเจาะ แต่ข้อเสียคือหน้าตาเว็บอาจจะจำกัดรูปแบบ และปรับแต่งอะไรไม่ได้เยอะ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันเหมาะสำหรับมือใหม่
29. สำหรับวิธีแรกนั้น บางบริษัทเช่น lnwshop นั้นปัจจุบันมีบริการ เชื่อมต่อ (sync) ข้อมูลเข้า Lazada, Shopee ด้วยทำให้การทำงานขายของย่นเวลามากขึ้น เพราะใช้สต็อคสินค้าร่วมกัน ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ขายของมาสักระยะ แต่ว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเล็กน้อย
30. วิธีที่สองสำหรับการสร้างบ้านสร้างเว็บคือ ก็คือ ทำขึ้นมาเอง บน Woocommerce, Shopify หรืออะไรก็ตาม ข้อดีที่คิดออกข้อเดียวคือ เราจะออกแบบเว็บให้อลังการแค่ไหนก็ได้ทำได้แบบพวกแบรนด์ใหญ่ๆเลย แต่ข้อเสียมีเป็นกระบุงโกยสำหรับผู้เริ่มต้นคือ ต้องใช้ความสามารถของคนเริ่มต้นอย่างมาก เพราะต้องเขียนเว็บเอง ดูแลระบบเองซึ่งยากที่สุด ดูแลโฮสต์เอง เชื่อมต่อระบบรับจ่ายเงินเอง พูดง่ายๆดูแลทุกอย่างเองทั้งหมด ค่าใช้จ่ายจุกจิกเยอะและงอกเพิ่มได้ง่ายมาก แนะนำว่าแค่รู้ว่ามีวิธีนี้ก็พอ ผ่านครับ
31. การยืนยันตัวบุคคลของร้านค้าหรือผู้ขายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม่ค้าพ่อค้ามือใหม่ที่โนเนมก็คงไม่มีใครอยากทำการค้าด้วยเพราะความไม่มั่นใจว่าจะถูกโกงนั้นสูง ยิ่งสินค้ามูลค่าแพงยิ่งขายยาก ควรจะไปยืนยันตัวบุคคล ทำได้ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเลยเรียกว่า DBD นั่นเอง
Chat
32. เป็นเรื่องแปลกของคนไทย ที่ไม่เกิดในตลาด ecommerce ฝรั่งคือ ต่อให้เราทำข้อมูลสินค้าละเอียดขนาดไหนในเว็บไซต์ คนซื้อก็มักจะแชทมาถามก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดๆก็ตาม พ่อค้าแม่ค้าวันหนึ่งๆจะต้องให้เวลากับการตอบ chat เยอะมาก ลูกค้าที่ซื้อเองโดยไม่ผ่านการใช้แชทเลย คือสวรรค์ของพวกเรา
33. ถ้าจะใช้ line เพื่อทำการขายสินค้า แนะนำให้ทำผ่าน Line OA หรือ Line official account เนื่องจากมีแพคเกจฟรีสำหรับผู้เริ่มต้น และเหมาะสำหรับการทำธุรกิจเพราะเราสามารถเพิ่มสมาชิกทีมงานเข้ามาภายในระบบเพื่อช่วยตอบแชท และสามารถส่งข้อความประชาสัมพันธ์ได้
34. เตรียมตัวรับความวุ่นวายในการเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เพราะเราต้องตอบคำถามลูกค้าที่มาทั้งทาง Line, Facebook, page, IG, Shopee, Lazada คิดดูละกันครับว่าวันหนึ่งจะใช้เวลาขนาดไหน ดังนั้นถ้าจำนวนทีมไม่เยอะค่อยๆเริ่มไปทีละแห่ง เมื่อคนเยอะขึ้นเราก็เพิ่มช่องทางได้
35. บริการ Page365 และ Sellsuki มีบริการเชื่อมต่อข้อความใน line เข้ากับระบบคลังสินค้าได้ทุกอย่างจะสะดวกขึ้นมาก ถ้าเราทำการตลาดผ่าน line เป็นหลัก แต่ถ้าเรามีช่องทางอื่นด้วยก็ต้องชั่งน้ำหนักดูว่าอันไหนดีที่สุด
36. แต่ข้อดีของระบบ Chat คือเป็นการขายของแบบ 1 ต่อ 1 และจะทำให้เราร่ายมนต์สะกดในรูปแบบไหนก็ได้ใส่ลูกค้า ซึ่งเป็นเสน่ห์ของการขายของแบบไทยๆ และก็เตรียมตัวอดนอนได้เลยครับ ตีหนึ่ง ตีสอง ตีสาม คนไทยเราก็ทักแชทซื้อของ ถึงแม้เขาจะไม่ได้คาดหวังคำตอบ แต่ถ้าเรามอบการขายที่เร็วที่สุดในเขาได้ นั่นคือสุดยอดความประทับใจ
37. ในระยะเวลาอันใกล้จนไปถึงอนาคตระบบ chatbot จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นโดยจะลดปริมาณแรงงานมนุษย์ในการตอบ chat ลงไป
การขนส่งสินค้า
38. เรื่องการส่งสินค้า ทำได้หลายแบบ ถ้าระยะทางใกล้มากๆ การใช้พวก Grab, Line man อาจะเป็นทางเลือกที่ดีทั้งประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่ถ้าส่งไปต่างจังหวัดมีหลายตัวเลือก เช่น ไปรษณีย์ไทย หรือบรรดาบริษัทสีเขียว สีส้ม สีเหลือง สีอื่นๆ
39. Kerry, DHL, Fast, Flash, J&T หรือเจ้าอื่นๆ เจ้าไหนดีที่สุด อยู่ที่สินค้าเราเป็นแบบไหน เพราะแต่ละเจ้ามีหลักการคิดน้ำหนักและค่าขนส่งที่ไม่เท่ากัน ขายเครื่องสำอางกระปุกเล็กๆ กับ ขายเก้าอี้ อาจจะต้องส่งคนละบริษัท อีกทั้งอย่าลืมพิจารณาตำแหน่งที่ของศูนย์รับส่งสินค้าด้วยว่าอยู่ใกล้ตัวเราขนาดไหน
40. ความเร็วในการส่งสินค้าเป็นอะไรที่สำคัญมาก แต่ก่อน 3 วันถือว่าเร็ว แต่ปัจจุบันเขาเล่นกันที่ same day กันแล้ว
41. การบรรจุเป็นส่วนที่ทำให้ลูกค้าประทับใจได้มาก ลองดูคนญี่ปุ่นแพคสินค้าสิครับ มูลค่าสินค้าเพิ่มขึ้นมหาศาลเลย แต่เราไม่ต้องทำขนาดนั้น
42. ปัจจุบันนี้มีบริการที่เรียกว่า warehouse หรือ fulfillment คือ เราสามารถไปใช้บริการคลังสินค้าและฝากให้คนจัดการแพคของส่งสินค้าให้เราได้เลย บริการนี้มีที่ lnwshop แล้ว หรือถ้าเป็น Sellsuki ก็มี Akita เป็นต้น เรียกได้ว่าพ่อค้าแม่ค้าก็ขายอย่างเดียว ไม่ต้องมาพะวงเรื่องการห่อการส่ง แต่บริการนี้จะเหมาะกับสินค้าชิ้นเล็กถึงเล็กมาก เพราะค่าวางของเขาคิดเป็นตารางเมตรเลย ของใหญ่ๆจะไม่คุ้มครับ
การตลาด (Marketing)
43. ลูกค้ามี 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่พร้อมจะซื้อ ณ ตอนนี้ และ กลุ่มสองคือกลุ่มที่มีแผนจะซื้อแต่ไม่ใช่ตอนนี้ และ กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่แค่เดินผ่านมา แต่ไม่สนใจสินค้าเราแน่นอนเ
44. ลูกค้ากลุ่มแรก ใช้ Facebook, IG หรือ Line ในการหาลูกค้าพร้อมปิดการซื้อขาย กลุ่มนี้เรียกว่า hot lead ขอเพียงส่งข้อความไปหาเขาถูกเวลาบนหน้า feed เราก็จะขายได้เอง เน้นอารมณ์ร่วมเยอะๆ อันนี้เห็นได้จากแม่ค้าออนไลน์นั่นเอง ข้อดีคือเริ่มต้นได้ง่าย ได้เร็ว แต่ข้อเสียคือมาเร็วไปเร็ว
45. ลูกค้ากลุ่มสอง เรียกว่า cold lead กลุ่มนี้มักจะหาเราเจอจาก Google เพราะเขามีเวลาในการหาข้อมูลเยอะมาก ไม่ได้ซื้อด้วยอารมณ์ แต่ซื้อด้วยเหตุผลที่คิดมาดีแล้ว และ Google ไม่ยอมโชว์ผลลัพธ์ที่แสดงจาก Facebook ถ้าเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ เว็บไซต์ของเราจึงสำคัญมากๆ ลูกค้ากลุ่มนี้คือคนกลุ่มใหญ่ในตลาด ข้อเสียคือเห็นผลช้า เพราะกว่า Google จะคำนวณคะแนนให้เว็บไซต์เราดีพอจะขึ้นโชว์หน้าแรกได้ต้องใช้เวลา แต่ข้อดีแน่ๆคือ เราจะอยู่ไปยาวๆ เหมาะกับสถานการณ์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ
46. กลุ่มสาม อันนี้ต้องค่อยๆฟูมฟักไปเรื่อยๆ เรียกว่า nurture หรือประครบประหงม ทำดีให้เขาเห็นบ่อยๆ แสดงแต่เรื่องดีๆของเราให้เขาเห็น สักวันในอนาคตเขาก็จะมาเป็นลูกค้าเราเองครับ
47. ในการขายของให้ลูกค้า นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าเราควรทำการตลาดหลากหลายรูปแบบ ทั้งเว็บไซต์เพื่อให้ขึ้น Google พร้อมๆกับทำการตลาดบนหน้าเฟซเพราะคนไทยอยู่บนเฟซมากที่สุดชาติหนึ่งของโลกใบนี้
48. การทำการตลาดออนไลน์คือ Digital marketing ซึ่งไม่ใช่การใส่เงินโฆษณาเข้าไปใน Facebook แล้วให้มันทำงาน แต่เป็นการบูรณาการวิธีการต่างๆที่อยู่บนโลกออนไลน์จนทำให้สินค้าเราขายได้ผ่านวิธีการต่างๆเช่น content marketing, SEO, google ads
49. Content marketing คือการ content online ผ่านทางรูปแบบต่างๆเช่น บทความ วีดีโอ podcast เพื่อสินค้าหรือการตลาดของเรา อาจจะเป็นทั้ง soft sell หรือ hard sell
50. การทำการตลาดบน Facebook มีเรื่องราวมากมายที่ผู้เข้าใหม่ควรรู้เช่น Pixel ที่ไว้ตามหลอกหลอนลูกค้าที่เรียกว่า re-targeting หรือระบบการเลือก demographic ที่เลือกได้อย่างละเอียด และรูปแบบของ Facebook ads set ที่ศึกษากันได้เป็นวันๆ
51. ปัจจุบันการใช้เงินโฆษณาใน Facebook ถือว่าแพงมากๆ เพราะว่าเฟซบุ๊คใช้ระบบ bid คือการประมูล แปลว่าถ้ามีคน 10 คน อยากโฆษณาสินค้าในกลุ่มเดียวกันไปยังผู้รับที่ใกล้เคียงกัน ใครจ่ายเงินมากสุดโฆษณานั้นจะได้รับการเห็นมากที่สุด
52. นอกเหนือจาก SEO ที่เราต้องเรียนรู้ผ่านการทำเว็บไซต์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่ต้องรู้ต่อคือ “Keyword” หรือคำที่คนเราใช้ค้นหา เช่น ถ้าลองคิดภาพว่าคนจะซื้อเครื่องเกม Nintendo switch เขาจะพิมพ์ใส่ google ว่าอะไร จะซื้อกางเกงยีนส์จะพิมพ์ว่าอะไร ซึ่งอันนี้จะอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า Google ads ทั้งหมด ศึกษากันได้เป็นวันๆอีกเช่นกัน
53. Keyword ของ Google มีหลายราคาขึ้นอยู่กับความถี่ของการถูกค้น เราสามารถดูได้จาก Google keyword planner
54. ปัจจุบันมีบริการพิเศษเช่น Priceza ของคนไทย ที่จะมาช่วยการทำ SEO ให้เรา โดยจะไม่คิดค่า commission ของราคาขายเราด้วย แต่จะไปคิดค่าบริการต่อการที่ทำให้สินค้าเราถูกค้นเจอแทน
55. Google กับ Youtube คือเพื่อนกัน ส่วน Facebook ถือว่าเป็นศัตรู ห้ามพึ่งที่ใดที่หนึ่งเป็นหลักเด็ด เราตัวเล็กต้องทำตัวเป็นเหาฉลามเกาะไปกับฉลามทุกตัวที่ว่ายมา
56. E-mail marketing เป็นอีกหนึ่งกลวิธีในการทำการตลาดแบบ business to business (B2B)
57. Inbound marketing คือการทำการตลาดแบบแรงดึงดูด ที่เหมาะกับใช้กับสินค้าราคาแพงมากๆ
58. Personal branding คือการใช้การตลาดที่ใช้เจ้าของเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนซึ่งจะช่วยผ่อนค่าใช้จ่ายการตลาดได้มาก
59. Influencer marketing คือการจ้างคนดังในโลกออนไลน์ไปทำรีวิวให้เรา ค่าจ้างก็ขึ้นอยู่กับจำนวน follower ของเขา คิดคร่าวๆก็ประมาณ 10,000 follower = 1,000 บาท ถ้าจ้างคนที่มียอดติดตามประมาณ 100,000 คนก็ต้องเตรียมเงินไว้จ้างเขาประมาณ 10,000 บาทต่องาน
60. Micro influencer คือการไปจ้างคนที่ดังแต่ดังเป็นกลุ่มแคบๆเฉพาะเจาะจง มีคนติดตามไม่เยอะ แต่ความคิดสามารถชี้นำเพื่อนได้สูง เป็นอีกวิธีที่ใช้ทุนน้อยแต่ได้ผลดี
61. การขายสินค้าราคา 10 บาท / 1,000 บาท / 10,000 บาท / 100,000 บาท / 1,000,000 บาท ใช้วิธีการขายที่ไม่เหมือนกัน ลูกค้าที่ถามแชทก็ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน วิธีการเข้าหาแตกต่างกันมาก อันนี้เราต้องหากลุ่มลูกค้าของเราให้เจอ
62. การมีรีวิวสินค้าโดยผู้ใช้จริงเป็นอะไรที่สำคัญ ไม่ว่าจะภาพหรือคำพูดที่อยู่บนโลกออนไลน์คือสิ่งที่จะนำพาลูกค้าใหม่มาหาเราเสมอ มนุษย์ชอบเรื่องซุบซิบ ถ้ามีชื่อร้านของเราโผล่อยู่บน pantip ละก็นั่นคือดีมากๆ ดังนั้นจึงมียุทธวิธีกองโจรที่จะเห็นแอคหลุมไป post เชียร์ร้านต่างๆอยู่เรื่อยๆ มีทั้งจริงทั้งปลอมผสมกันไป
63. จำกฎ Pareto’s law ไว้ครับ กฎนี้คือกฎของ 80/20 ที่ลูกค้า 20% ของเราจะเป็นผู้สร้างรายได้ 80% ให้เรา
64. บางทีไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ live ขายของอย่างเดียวก็สร้างยอดขายเดือนละหลายๆล้านบาทได้ ตัวอย่างให้ดู “บังฮาซัน ขายอาหารทะเลแห้งสตูล”
65. ต้องอัพเดทหน้าเว็บไซต์ หน้าเพจเฟซบุ๊ค หรือช่องทางอื่นๆอยู่เสมอ เพื่อทำให้ลูกค้าเชื่อว่าร้านของเรายังเปิดอยู่
66. เวลาขายของ “ราคาต้องลงให้ชัด” เพราะราคาจะเป็นตัวกรองลูกค้าที่ถูกต้องไว้เสมอ เราจะได้ไม่เสียเวลาตอบแชทเพียงเพื่อจะแจ้งราคา นอกจากนี้การไม่แจ้งราคาถือว่าผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน
ระบบจัดการสินค้า (Inventory)
67. ระบบคลังสินค้ามีมากมายให้เลือกให้ โดยปกติ E-marketplace จะมีระบบคลังสินค้าให้ แต่ปัญหาคือจำนวนสินค้ามันจะไม่เชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ทำให้เกิดความสับสนเวลาเราขายของได้สูงมาก เพราะอาจจะเกิดเหตุการณ์สินค้าจริงๆหมดไปแล้ว แต่ออนไลน์กลับยังขายได้อยู่
68. ระบบคลังสินค้ากลางออนไลน์มีให้บริการแล้วเช่น Zortout ที่เชื่อมโยงได้เกือบทุก platform หรือ X-commerce แต่ก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป แต่แน่นอนว่าระบบพวกนี้มีค่าใช้จ่ายรายเดือน
69. E-marketplace อย่าง Lnwshop เนื่องจากมีระบบที่เชื่อมโยงกับ Lazada/Shopee ได้ จึงเสมือนหนึ่งในคลังสินค้าเดียวกันได้ แต่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับ line ได้ ระบบ point of sale อื่นๆได้
70. ระบบ Inventory ตอนนี้ยังไม่มีแบบที่ one size fit all สำหรับรายเล็กครับ รายใหญ่ไม่มีปัญหาเพราะเขาเขียนระบบใหม่ให้เขาเอง
71. ระบบ Inventory ที่ดีจะมีช่องว่างให้เราอัพเดทได้เยอะเช่น ถ้าเรามีระบบการฝาก dropship มีหน้าร้านที่มากยิ่งขึ้น หรือมีระบบตัวแทนขายสินค้า ซึ่งถ้าทุกที่สามารถเชื่อมต่อที่คลังสินค้าเดียวกันได้ การบริหารจำนวนสินค้าจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ระบบจุดขาย (POS Point of Sales)
72. POS ย่อมาจาก Point of sale พูดให้เห็นภาพคือ เวลาเราไปซื้อของที่ร้านแล้วมีการยิงบาร์โค๊ด หลังจากนั้นเราได้ใบเสร็จออกมา จำนวนสินค้าที่ขายออกมาก็จะถูกตัดออกไปจากคลัง
73. สำหรับคนที่มีหน้าร้าน และ ทำระบบ Omnichannel ก็จะมีการขายสินค้าหน้าร้านควบคู่ไปกับการทำออนไลน์ ก็จะต้องมีระบบ POS ตามแบบที่เห็นในร้านค้าทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้ระบบ barcode เพื่อความรวดเร็วในการขายพร้อมกับใบเสร็จที่ออกให้อย่างอัตโนมัติ และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเรานำสินค้าออกจากหน้าร้านหลังจากขายได้ จำนวนสินค้าในออนไลน์ต้องนำออกเช่นเดียวกัน ไม่งั้นจะเกิดเหตุการณ์สินค้าหมดโดยที่เราไม่รู้ตัว
74. ระบบ POS ที่มาทำตลาดสำหรับร้านขายของในเมืองไทยมีเช่น Zortout หรือ Storehub ซึ่งมีข้อดีข้อเสียที่เหมาะกับร้านที่แตกต่างชนิดกันครับ
75. ระบบ POS ควรเลือกใช้ระบบที่อยู่บน cloud เท่านั้น เพราะจะทำให้เจ้าของสามารถเช็คยอดขายได้ตลอดเวลา
การบัญชี (Accounting)
76. ช่องทางการรับเงินควรมีอย่างน้อย บัตรเครดิต และ บัญชีธนาคาร แต่ถ้าให้ดีควรมีให้ครบทุกช่องทางที่คนไทยใช้
77. บัญชีผู้รับเงิน ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ตอนนี้เป็นธนาคารไหนก็ได้ เพราะปัจจุบันไม่มีค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามธนาคารแล้ว แต่สำหรับพ่อค้าแม่ค้า ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ธนาคารสีเขียวหรือสีม่วง ดีที่สุด
78. บัตรเครดิต ถ้ามีหน้าร้านสามารถไปขอเครื่อง EDC ได้จากธนาคาร แต่ต้องทำเอกสารพอสมควรและขึ้นอยู่กับธุรกิจ ค่าธรรมเนียมประมาณ 2 – 3.5 %
79. แต่ถ้ามีแต่ออนไลน์ สามารถรับชำระบัตรเครดิตผ่านระบบชำระเงินต่างๆได้เลยเช่น Paypal, lnwpay หรือบริษัทอื่นๆอีก แต่เตรียมตัวรับค่าธรรมเนียมประมาณ 1.5 – 3.5 % เพิ่มเติม
80. ภาษีที่เกี่ยวข้องกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์คือ ภาษีเงินได้ กับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เท่านั้น
81. ถ้ายอดขายเฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่า 150,000 บาท รวมแล้วไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ไม่ต้องจด VAT แต่ถ้าเกิน 1.8 ล้านบาทแล้วต้องจด VAT ด้วย
82. ถ้ามีรายได้เยอะควรจดในรูปแบบบริษัทฯ นอกจากจะทำให้ธุรกิจของเราน่าเชื่อถือแล้ว เรายังสามารถใช้ระบบรายรับ / รายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
83. ปัจจุบันกรมสรรพากรมีเกณฑ์การตรวจสอบบัญชีที่ มีความเคลื่อนไหวบัญชีเกิน 400 ครั้ง ซึ่งถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อบัญชีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ดังนั้นต้องวางแผนถ้าจะทำการค้าในรูปแบบบุคคล
84. ปัจจุบันมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์เช่น Flowaccount หรือ Peak ที่ช่วยให้คนไม่มีความรู้บัญชีสามารถทำใบเสนอราคา ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี หรือเอกสารสำคัญอื่นๆได้โดยง่าย
85. Flowaccount/Peak มีคอร์สเทรนนิ่งด้วยสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่
ETC
86. สำคัญที่สุดเริ่มที่ Customer journey มีลำดับขั้นตอนดังนี้ เห็น (Awareness) > สนใจ (Interest) > ตัดสินใจ (Decision) > สั่งซื้อ (Action) แต่ละขั้นตอน ความอยากซื้อของลูกค้าไม่เหมือน วิธีการเข้าหาลูกค้าก็ไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตอนที่เราเป็นลูกค้าเราไม่เคยคิด แต่พอเป็นพ่อค้าแม่ค้าแล้วต้องคิดมากๆ
87. สำหรับกลุ่มที่เดินผ่านแล้วเผอิญ “เห็น” เราต้องการให้คนเห็นของที่เราขายมากที่สุด เพราะเชื่อว่ายิ่งเห็นมาก ก็มีโอกาสขายได้มาก ถูกต้อง! วิธีการทำให้คนเห็นมากก็คือ SEO หรือ facebook ads นั่นเอง
88. สำหรับกลุ่มที่เห็นแล้วเริ่มเกิดมี “ความสนใจ” คือหยุดดูเพื่อพิจารณาว่าจะไปกดดูต่อไหม รู้ไหมครับว่าคนไทยเห็น post facebook แล้วมีเวลาแค่ 1-2 วินาทีไม่เกินนี้ก่อนจะเลื่อนพ้นไป เรามีเวลาแค่นี้เท่านั้น ในการจับความสนใจคนให้ได้ นั่นคือแปลว่าเราต้องมีชุด content ที่ดีเอาไว้โชว์
89. พอเขากดดูสินค้าของเราอย่างจริงจัง “เริ่มจะตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ” อันนี้คุณก็ต้องมีชุดข้อมูลที่เตรียมพร้อมสำหรับลูกค้าระดับนี้เช่น รีวิวสินค้าของคนที่เคยใช้มาก่อน ความน่าเชื่อถือ การบริการหลังการขาย
90. และขั้นสุดท้ายคือ “การปิดการขาย” นั่นเอง เราต้องมอบข้อเสนอที่ลูกค้าไม่อาจจะปฏิเสธได้ การใช้คำพูดหรือภาษาเพื่อเชิญชวน ใช้มารยาชักแม่น้ำทั้งห้ามากล่อม และสุดท้ายสินค้าชิ้นนั้นก็จะถูกส่งมอบออกไป
91. ต้องแยกอารมณ์ ความคิดทางการเมือง ความเชื่อทางศาสนา ออกจากการทำธุรกิจให้ได้ เพราะลูกค้าเรามีทุกสี เหลือง แดง ส้ม เจ้าของอาจจะมีความคิดความเชื่อในใจได้ แต่การแสดงออกต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะผลลัพธ์อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
92. ก่อนจะเริ่มขายสินค้าต้องแยกให้ได้ว่าเราอยู่ใน น่านน้ำสีอะไร
93. Red ocean คือ น่านน้ำสีแดง พื้นที่การตลาดที่เต็มไปด้วยสงครามราคา สินค้าจากแม่ค้าแต่ละคนหาความแตกต่างไม่เจอ ทุกคนเลยต้องมาตัดราคาขายแข่งกัน มักจะเป็นสินค้าแมสและราคาไม่แพง ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ร้านหมูกระทะ
94. Blue ocean คือ น่านน้าสีคราม พื้นที่ๆไม่มีการแข่งขันด้านราคาสินค้า เป็นพื้นที่การตลาดที่ทุกคนอยากหาให้เจอ ถ้ามองให้เห็นภาพก็อาจจะเป็น ร้านขายอาหารญีปุ่นแบบโอมากาเสะ
95. การตั้งราคาสินค้า ขึ้นอยู่กับเราเป็น ผู้ค้าส่ง หรือ ค้าปลีก ถ้าค้าส่งกำไรต่อชิ้นมักไม่สูงและขายเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าขายปลีกกำไรต่อชิ้นควรต้องบวกไว้พอสมควร เพราะจะมีค่าใช้จุกจิกตามมานับไม่ถ้วน ยิ่งถ้าเรารวมค่าส่งของลูกค้ามาแล้ว ค่าส่วนลดที่ลูกค้าเรียกร้องในบางโอกาสอีก ดังนั้นตัวเลขกลมๆไม่ควรน้อยกว่า 30-40%
96. การรับประกันสินค้า กล้าๆรับประกันในสิ่งที่เราขาย ถ้าเรายังไม่กล้ารับประกันคุณภาพแม้กระทั่งของที่เราขายก็อย่าไปคาดหวังว่าลูกค้าจะมั่นใจในสินค้าของเราเช่นเดียวกัน
97. Customer service เบอร์โทรศัพท์ ไลน์ ทุกอย่างต้องพร้อมให้ลูกค้าติดต่อได้ทุกเมื่อ คนไทยความอดทนต่ำมากบนโลกออนไลน์ เวลาเขาเทียบราคาสินค้าเขาเทียบพร้อมกันทุกๆร้านครับ
98. สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าจะขายต้องระวัง เพราะเป็นเรื่องวงจรไฟฟ้า ของเสียได้ง่าย โอกาสโดนเคลมสูงกว่า เวลาตั้งราคาต้องเผื่อการรับประกันไว้ด้วย แต่ถ้าขายของที่ตรงไปตรงมาปัญหานี้จะหายไป
99. หน้าร้านถ้ามีควรอยู่ที่ใกล้กับตำแหน่งที่ BTS, MRT เข้าถึงได้ (ถ้าเป็นไปได้)
100. อย่าลืมที่จะใส่ใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆที่จะส่งผลอย่างคาดไม่ถึง เช่น การใส่การ์ดใบเล็กๆน่ารักลงไปในกล่องสินค้าที่ลูกค้าสั่ง หรือการจดจำวันเกิดลูกค้าได้ อะไรแบบนี้ครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่ผมสรุปได้ใน 100 ข้อพอดี บางอย่างไม่สามารถลงละเอียดได้ เพราะมันจะทำให้ข้อความมันยาวยิ่งไปกว่านี้
มีปัญหาใดๆ มาถกกันได้ครับ ช่วงชีวิตในช่วงโควิด
shopify theme 在 五哥頻道 Youtube 的最佳貼文
☕一杯咖啡價錢買個保險?http://bit.ly/5gorVPN ?WordPress 7天濃縮課程?https://bit.ly/3fnRMzW
?$1試用Builderall?https://top1dollar.mmo-guru.com
⚡2021超正POD產品?https://bit.ly/3t6ir7C
?2021全新Udemy課程?http://bit.ly/3buktZN
?Shopify Dropshiping教學? https://bit.ly/3b3CGeT
✅Shopify最新消息? https://www.patreon.com/5gor
⭐️記得比個Like同訂閲我頻道? https://bit.ly/2F6Y2M8
?$1優惠最後幾日?https://bit.ly/34ICUVT
?香港聯盟行銷? https://blog.hkaffiliate.com
⚡記得比個Like同訂閲我頻道? https://bit.ly/2F6Y2M8
#香港聯盟行銷 #Builderall香港 #HKAffiliate
shopify theme 在 五哥頻道 Youtube 的最讚貼文
Facebook廣告投於技巧,話難唔難, 但要新手學識, 真係開始時見到頭都大埋. 但如果你拍難唔學識Facebook行銷技巧, 咁你一定後悔, 因為世界上好多人都用Facebook Marketing達到可觀收入, 你仲等乜?快啲去睇呢條片學識佢啦?
2020年全世界都飽受COVID-19的影響,香港也不能幸免,好多網友留言或私訊話我知他/她被裁,各大行業都受影響,你有無想過可以以力打力,借助互聯網以及Digital Marketing的威力可以為自己找一條出路,什至有網友跟住我過往的教學已可以放棄正職,走出一條自由之路?。如果你是同路人,就快啲睇以下2021年最新版免費教學,保證另你大開眼界,什至有機會放棄奴役你十幾二十年的朝9晚9工作?
?14日免費試用Shopify ?http://bit.ly/2vzY1bP
?Udemy課程? https://www.udemy.com/course/shopify-e/
✅Shopify教學? https://www.patreon.com/5gor
⚡網絡輕鬆賺錢? https://tinyurl.com/y3rrkbfh
?Shopify58集教學?http://bit.ly/2zj5myF
?2021最新Shopify廣東話教學
EP01⚡Hea做兩個月?https://youtu.be/RvKJOD07nqI
EP02⚡新手開店完整步驟?https://youtu.be/6zolE0tnvLg
EP03⚡由零開始?https://youtu.be/1SIfYkbg5P4
EP04⚡每日15分鐘?https://youtu.be/EkYaSlvd8fM
EP05⚡不要用Paypal?https://youtu.be/A6q9-4XRSXc
EP06⚡嚴選ePacket國家?https://youtu.be/tQEicvihb4g
Shopify是一家電子商務網站平台,成立於2006年,是協助中小零售商快速架起自有網路商店的龍頭廠商,截至2018年,全球超過 80萬家的中小企業使用他們的一站式電商平台服務,透過Shopify網站銷售的年營業額高達1000億美金,客戶中也不乏像是Tesla、Forbes 這類知名的廠商。
Shopify具有很大的彈性可以客製化你自己的品牌電商網站,你可以自己設計版型,Shopify 提供各式各樣的工具,可協助您設定和營運您的商店、庫存管理、物流與價格設定、銷售數據追蹤、處理付款、支付整合功能等。使用Shopify方便你快速建立網站後,專注提升電商網站銷售。
14日免費試用Shopify ?http://bit.ly/2vzY1bP
#1【5分鐘開Shopify網店】https://youtu.be/v_4Sg6IygqA
#2【5步令你Shopify網店變得更專業】https://youtu.be/hwfLjjqoomg
#3【Shopify網店如何設定Theme】https://youtu.be/OTUGmRc4h04
#4【Shopify網店如何加入產品】https://youtu.be/z7Oz6dYGOng
#5【Shopify網店如何加入有多個款式產品】https://youtu.be/H0FcDellYJc
#6【Shopify網店如何加入產品Collection?】https://youtu.be/h7vehQXCy4Q
#7【Oberlo如何幫你唔使幾秒加入產品?】https://youtu.be/15d8fFBMBys
#8【無敵組合Shopify+Oberlo開網店】https://youtu.be/c2pM6-cPMXc
#9【Shopify如何設定付款和運費? 】https://youtu.be/Eyu69z0_M84
#10【Shopify網店4個推介App】https://youtu.be/5GND5-WLPNE
#11【Shopify網店最重要一步】https://youtu.be/-RAEPPIS7Fk
#12【Shopify網店如何連結新域名?】https://youtu.be/PRQYy00Z2kY
#13【3招教你揾出大賣產品】https://youtu.be/wEfBrH8Ze2g
#14【Shopify兩個不為人知的方法】https://youtu.be/PFV-fxB0_oY
#15【秘技?五分鐘揾出大賣商品】https://youtu.be/QpdAk9ptbYg
#16【一個秘技另今成為Shopify網店專家】https://youtu.be/L-pkiHYyM0U
#17【一口氣解答的70條問題】https://youtu.be/nzxOspxCM3k
#18【開完網店,但無人流,點算?】https://youtu.be/6be4LB6pnV0
#19【開左Shopify網店,突然想休息一個月,點算?】 https://youtu.be/lar0aG2xUpY
#20【揾到Winning Product大賣產品之後還要】https://youtu.be/3Iulb1RqKrQ
#21【 Shopify教學】一個我揾Winning Product秘密?https://youtu.be/pYEDq-1GDMA
#22 如何更改Domain名 https://youtu.be/8jZgohSeLiU
#23 開始用Facebook賣廣告 https://youtu.be/RxKUvMHwRrU
#24 開Shopify網店幾個經常問題?FAQ https://youtu.be/krZUHfryXpI
#25 Shopify App一個打40個 https://youtu.be/Oa7IdjIADaY
#26 Patreon平台專講Shopify及網上揾錢秘密 https://youtu.be/sJOYpNivJDk
#27 要成功其實只須要.... https://youtu.be/xKKzRSRWj80
#28一個App可以幫你慳好多錢 https://youtu.be/2V08q2sz0mc
#29 一個免費App幫你五分鐘做出一條超正推廣Video https://youtu.be/bZryirY2JMA
#30 武漢肺炎玩死Dropshipping?https://youtu.be/afr3Zs7PsfI
#31 想做香港人生意?點做物流?點樣畀客戶上載入數紙等問題?https://youtu.be/WuDDPpBY2J8
#32 Product Bundles同Volume Discounts有幾重要 https://youtu.be/5Qsi1EplXbE
#33 多國語言App https://youtu.be/fvr-jyFfzpU
#34 傳統商店用Shopify+兩個APP快速轉型為網店 https://youtu.be/DpSSKgsfU1w
#35 使商店能夠以多種貨幣銷售 https://youtu.be/YDmuPVC7a8s
#36 同學網店分享,做一個月揾5位數 https://youtu.be/s-zzUvzjQQY
#37 由Oberlo同Eprolo入貨 https://youtu.be/EPcEIpHHxsM
#38 如何刪除頁尾的"Power by Shopify"Logo? https://youtu.be/nQJqk04jT2M
shopify theme 在 五哥頻道 Youtube 的最佳解答
2020年全世界都飽受COVID-19的影響,香港也不能幸免,好多網友留言或私訊話我知他/她被裁,各大行業都受影響,你有無想過可以以力打力,借助互聯網以及Digital Marketing的威力可以為自己找一條出路,什至有網友跟住我過往的教學已可以放棄正職,走出一條自由之路?。如果你是同路人,就快啲睇以下2021年最新版免費教學,保證另你大開眼界,什至有機會放棄奴役你十幾二十年的朝9晚9工作?
?14日免費試用Shopify ?http://bit.ly/2vzY1bP
?Udemy課程? https://www.udemy.com/course/shopify-e/
✅Shopify教學? https://www.patreon.com/5gor
⚡網絡輕鬆賺錢? https://tinyurl.com/y3rrkbfh
?Shopify58集教學?http://bit.ly/2zj5myF
?2021最新Shopify廣東話教學
EP01⚡Hea做兩個月?https://youtu.be/RvKJOD07nqI
EP02⚡新手開店完整步驟?https://youtu.be/6zolE0tnvLg
EP03⚡由零開始?https://youtu.be/1SIfYkbg5P4
EP04⚡每日15分鐘?https://youtu.be/EkYaSlvd8fM
EP05⚡不要用Paypal?https://youtu.be/A6q9-4XRSXc
EP06⚡嚴選ePacket國家?https://youtu.be/tQEicvihb4g
Shopify是一家電子商務網站平台,成立於2006年,是協助中小零售商快速架起自有網路商店的龍頭廠商,截至2018年,全球超過 80萬家的中小企業使用他們的一站式電商平台服務,透過Shopify網站銷售的年營業額高達1000億美金,客戶中也不乏像是Tesla、Forbes 這類知名的廠商。
Shopify具有很大的彈性可以客製化你自己的品牌電商網站,你可以自己設計版型,Shopify 提供各式各樣的工具,可協助您設定和營運您的商店、庫存管理、物流與價格設定、銷售數據追蹤、處理付款、支付整合功能等。使用Shopify方便你快速建立網站後,專注提升電商網站銷售。
14日免費試用Shopify ?http://bit.ly/2vzY1bP
#1【5分鐘開Shopify網店】https://youtu.be/v_4Sg6IygqA
#2【5步令你Shopify網店變得更專業】https://youtu.be/hwfLjjqoomg
#3【Shopify網店如何設定Theme】https://youtu.be/OTUGmRc4h04
#4【Shopify網店如何加入產品】https://youtu.be/z7Oz6dYGOng
#5【Shopify網店如何加入有多個款式產品】https://youtu.be/H0FcDellYJc
#6【Shopify網店如何加入產品Collection?】https://youtu.be/h7vehQXCy4Q
#7【Oberlo如何幫你唔使幾秒加入產品?】https://youtu.be/15d8fFBMBys
#8【無敵組合Shopify+Oberlo開網店】https://youtu.be/c2pM6-cPMXc
#9【Shopify如何設定付款和運費? 】https://youtu.be/Eyu69z0_M84
#10【Shopify網店4個推介App】https://youtu.be/5GND5-WLPNE
#11【Shopify網店最重要一步】https://youtu.be/-RAEPPIS7Fk
#12【Shopify網店如何連結新域名?】https://youtu.be/PRQYy00Z2kY
#13【3招教你揾出大賣產品】https://youtu.be/wEfBrH8Ze2g
#14【Shopify兩個不為人知的方法】https://youtu.be/PFV-fxB0_oY
#15【秘技?五分鐘揾出大賣商品】https://youtu.be/QpdAk9ptbYg
#16【一個秘技另今成為Shopify網店專家】https://youtu.be/L-pkiHYyM0U
#17【一口氣解答的70條問題】https://youtu.be/nzxOspxCM3k
#18【開完網店,但無人流,點算?】https://youtu.be/6be4LB6pnV0
#19【開左Shopify網店,突然想休息一個月,點算?】 https://youtu.be/lar0aG2xUpY
#20【揾到Winning Product大賣產品之後還要】https://youtu.be/3Iulb1RqKrQ
#21【 Shopify教學】一個我揾Winning Product秘密?https://youtu.be/pYEDq-1GDMA
#22 如何更改Domain名 https://youtu.be/8jZgohSeLiU
#23 開始用Facebook賣廣告 https://youtu.be/RxKUvMHwRrU
#24 開Shopify網店幾個經常問題?FAQ https://youtu.be/krZUHfryXpI
#25 Shopify App一個打40個 https://youtu.be/Oa7IdjIADaY
#26 Patreon平台專講Shopify及網上揾錢秘密 https://youtu.be/sJOYpNivJDk
#27 要成功其實只須要.... https://youtu.be/xKKzRSRWj80
#28一個App可以幫你慳好多錢 https://youtu.be/2V08q2sz0mc
#29 一個免費App幫你五分鐘做出一條超正推廣Video https://youtu.be/bZryirY2JMA
#30 武漢肺炎玩死Dropshipping?https://youtu.be/afr3Zs7PsfI
#31 想做香港人生意?點做物流?點樣畀客戶上載入數紙等問題?https://youtu.be/WuDDPpBY2J8
#32 Product Bundles同Volume Discounts有幾重要 https://youtu.be/5Qsi1EplXbE
#33 多國語言App https://youtu.be/fvr-jyFfzpU
#34 傳統商店用Shopify+兩個APP快速轉型為網店 https://youtu.be/DpSSKgsfU1w
#35 使商店能夠以多種貨幣銷售 https://youtu.be/YDmuPVC7a8s
#36 同學網店分享,做一個月揾5位數 https://youtu.be/s-zzUvzjQQY
#37 由Oberlo同Eprolo入貨 https://youtu.be/EPcEIpHHxsM
#38 如何刪除頁尾的"Power by Shopify"Logo? https://youtu.be/nQJqk04jT2M
shopify theme 在 61 Shopify Themes ideas - Pinterest 的推薦與評價
Jun 10, 2017 - A collection of some of the themes available in the Shopify Theme Store http://themes.shopify.com. See more ideas about shopify theme, ... ... <看更多>
shopify theme 在 Shopify/theme-check - GitHub 的推薦與評價
Think RuboCop, or eslint, but for Shopify themes. Theme Check is a command line tool that helps you follow Shopify Themes & Liquid best practices by ... ... <看更多>