สรุปเส้นทาง เว็บเบราว์เซอร์ จาก Netscape สู่ Google Chrome /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงการท่องโลกอินเทอร์เน็ต สิ่งที่เป็นเหมือนประตูบานแรกที่ทุกคนต้องเดินผ่าน ก็คือ “เว็บเบราว์เซอร์”
รู้ไหมว่า ความสำคัญของเว็บเบราว์เซอร์นั้น ได้นำไปสู่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงฐานผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างดุเดือด ซึ่งเหตุการณ์ก็ยืดเยื้อมานานเกือบ 30 ปี และพลิกผันอยู่หลายครั้ง จนทำให้ผู้ชนะในศึกแรก ๆ กลับกลายเป็นผู้แพ้ในท้ายที่สุด
สงครามระหว่างผู้ให้บริการเว็บเบราว์เซอร์ มีเรื่องราวเป็นอย่างไร
แล้วตอนจบ ใครเป็นผู้ชนะ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1993
เว็บเบราว์เซอร์หลายเจ้า ถูกคิดค้นขึ้นและนำมาใช้กันแพร่หลาย และถือเป็นประตูบานสำคัญ ที่ทำให้มนุษย์ได้รู้จักกับโลกออนไลน์
ในขณะนั้น เว็บเบราว์เซอร์ที่ได้รับความนิยมมากสุด คือ “Mosaic” ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์การประยุกต์ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกา
ต่อมา ก็มีหลายบริษัทขอซื้อลิขสิทธิ์ของ Mosaic ไปสร้างเป็นเว็บเบราว์เซอร์ของตัวเอง โดยหนึ่งในนั้น คือ บริษัท Netscape Communications Corporation ของคุณ Marc Andreessen ซึ่งปัจจุบันเป็นนักลงทุนชื่อดังของวงการ Venture Capital
เว็บเบราว์เซอร์ของ Netscape มีชื่อว่า “Netscape Navigator” ซึ่งได้รับความนิยมในทันที เพราะใช้งานง่าย และแสดงผลการค้นหาได้ดีกว่าเจ้าอื่น ทำให้บริษัทยึดครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 80% ในช่วงปี 1995
ความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Netscape สามารถจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ แม้เพิ่งก่อตั้งมาเพียงปีเดียว และยังถือเป็นการ IPO ที่มีมูลค่าสูงสุดของตลาดในเวลานั้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต ก็ดึงดูดให้ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง “Microsoft” เข้ามาสู่ธุรกิจเว็บเบราว์เซอร์ จนเกิดเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “สงครามเว็บเบราว์เซอร์ครั้งที่ 1”
หลังจาก Netscape เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ 15 วัน บริษัท Microsoft ก็เปิดตัวเว็บเบราว์เซอร์ ชื่อว่า “Internet Explorer”
เนื่องด้วย Microsoft เป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่มีเงินทุนจากการขายซอฟต์แวร์ จึงทำให้สามารถทุ่มทรัพยากรเพื่อพัฒนา Internet Explorer จนมีฟีเชอร์ก้าวตาม Netscape ทัน ภายในเวลาไม่นาน
และในปี 1997 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงคราม เมื่อ Microsoft ตัดสินใจผูกโปรแกรม Internet Explorer ไว้เป็นเว็บเบราว์เซอร์เริ่มต้นของระบบปฏิบัติการ Windows แบบฟรี ๆ
หมายความว่า คนที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ไปใช้ จะกดเข้า Internet Explorer ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปดาวน์โหลดหรือหาซื้อเว็บเบราว์เซอร์ใหม่
ซึ่งขณะนั้น Windows ครองส่วนแบ่งตลาดระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์กว่า 90% ส่งผลให้การใช้งาน Internet Explorer เพิ่มขึ้นรวดเร็วมาก
จนในปี 2002 Netscape Navigator ก็มีส่วนแบ่งตลาดน้อยมาก
จากข้อมูลของ TheCounter.com
Internet Explorer ส่วนแบ่งตลาด 93.9%
Netscape Navigator ส่วนแบ่งตลาด 2.3%
บทสรุปของสงครามเว็บเบราว์เซอร์ครั้งที่ 1 ผลปรากฏว่า Microsoft เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด..
ส่วนผลการดำเนินงานของ Netscape ก็ถดถอยลง และตัดสินใจขายกิจการให้กับบริษัท America Online ในปี 1998 ก่อนที่จะหยุดให้บริการเว็บเบราว์เซอร์ ในเวลาต่อมา
ถึงแม้การต่อสู้ศึกนี้จบลงแล้ว แต่สงครามในสนามรบเว็บเบราว์เซอร์ ยังไม่ปิดฉากลงง่าย ๆ
พอไร้คู่แข่ง ดูเหมือนว่า Microsoft จะตายใจ และแทบไม่ได้พัฒนา Internet Explorer ต่อสักเท่าไร หลักฐานที่ชัดเจนคือ ระหว่างปี 2001-2006 มีการอัปเดตเบราว์เซอร์แค่เวอร์ชันเดียวเท่านั้น
แต่ความประมาทและความตายใจของ Microsoft นี่เอง ที่กลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิด “สงครามเว็บเบราว์เซอร์ ครั้งที่ 2”
เพราะหลังจาก Netscape พ่ายแพ้ พวกเขาก็ได้เปิดเผยข้อมูลโคดทิ้งไว้ ซึ่งต่อมา องค์กร Mozilla Foundation ได้นำเอาไปพัฒนาเป็นเว็บเบราว์เซอร์ตัวใหม่ ที่ชื่อว่า Mozilla Firefox หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “Firefox”
Firefox ได้มุ่งเน้นพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ที่เริ่มเบื่อหน่ายกับประสิทธิภาพการทำงานของ Internet Explorer
จึงทำให้ Firefox สามารถแสดงผลของเว็บไซต์รุ่นใหม่ได้ดีกว่า รวมทั้งเพิ่มฟีเชอร์ลูกเล่นให้กับเบราว์เซอร์อีกมากมาย ส่งผลให้คนเริ่มสนใจลองดาวน์โหลด Firefox ไปใช้งานแทน Internet Explorer
ส่วนแบ่งตลาดเว็บเบราว์เซอร์ ในปี 2009 จากข้อมูลของ StatCounter
Internet Explorer ส่วนแบ่งตลาด 60.1%
Firefox ส่วนแบ่งตลาด 30.5%
จะเห็นได้ว่า Firefox แย่งชิงผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไปจาก Internet Explorer พอสมควร ถึงขนาดที่หลายฝ่ายมองว่าอาจถึงขั้นแซงขึ้นเป็นเจ้าตลาด
แต่มันก็ไม่ทันได้เกิดขึ้น..
เพราะสงครามครั้งนี้ ยังมีตัวละครอื่นเข้าร่วมวงต่อสู้อีก
ซึ่งตัวละครใหม่ที่ว่า นั่นก็คือ “Google”
Google เป็นเจ้าตลาดเซิร์ชเอนจิน และมีผลิตภัณฑ์ออนไลน์อื่น ๆ มากมาย ซึ่งมีความต้องการจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศบริษัทเพิ่มเติม จึงได้พัฒนาและเปิดตัวเว็บเบราว์เซอร์ ชื่อว่า “Google Chrome” ขึ้นมา และเริ่มเปิดให้ใช้งานในปี 2008
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต จะสามารถใช้บริการทุกอย่างของ Google ผ่านเบราว์เซอร์ Google Chrome ได้อย่างสะดวกสบายและครบวงจรในที่เดียว
รวมทั้ง Google ยังมีความพร้อมด้านทรัพยากรและเงินทุน ที่สนับสนุนให้ทีมงานมีการอัปเดตฟีเชอร์ใหม่ ๆ ของเบราว์เซอร์ อยู่ตลอดเวลา จนรายอื่นเริ่มขยับตามได้ยาก
ด้วยเหตุนี้ ฐานผู้ใช้งาน Google Chrome จึงเติบโตแบบก้าวกระโดด และแซงหน้าขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา
นอกจากนั้น ในยุคสมาร์ตโฟน ผู้เล่นอีกรายหนึ่งที่มาแรง คือ “Apple”
ในช่วงหลัง พฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ต เปลี่ยนไปอยู่บนสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตมากขึ้น ซึ่ง Apple ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ส่งผลให้เว็บเบราว์เซอร์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS ของตัวเครื่อง อย่าง “Safari” ถูกเปิดใช้งานเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง จนสามารถก้าวขึ้นมามีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 ตั้งแต่ช่วงปี 2015
แล้วในปัจจุบัน สถานการณ์ของสงครามนี้ เป็นอย่างไร ?
ส่วนแบ่งตลาดเว็บเบราว์เซอร์ เดือนพฤษภาคม ปี 2021 จากข้อมูลของ StatCounter
- Google Chrome ส่วนแบ่งตลาด 64.8%
- Safari ส่วนแบ่งตลาด 18.4%
- Firefox ส่วนแบ่งตลาด 3.3%
- Internet Explorer ส่วนแบ่งตลาด 0.6%
เราคงพอสรุปได้ว่า Google Chrome คือผู้คว้าชัยชนะ ของสงครามเว็บเบราว์เซอร์ ในตอนนี้
ในขณะที่ ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตอย่าง Internet Explorer ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปแล้ว ซึ่งทำให้ Microsoft เตรียมยกเลิกโปรแกรมในเดือนมิถุนายน ปี 2022 และมุ่งพัฒนาเบราว์เซอร์รุ่นใหม่ ชื่อว่า “Microsoft Edge” ขึ้นมาแทน
นี่คงเป็นแง่คิดที่ดีว่า การเป็นผู้ชนะนั้นยากแล้ว แต่การรักษาตำแหน่งผู้ชนะอาจเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า
เพราะเมื่อไรที่เราหยุดพัฒนา ก็อาจพลิกมาเป็นผู้แพ้ในสักวัน จนไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่ ก็เป็นได้..
ปิดท้ายด้วยประเด็นที่หลายคนอาจสงสัยว่า
Google Chrome กับ Safari ที่ดูเหมือนเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกันที่สุดในตอนนี้ ความจริงแล้วเขาทั้งสอง เป็นพันธมิตรกันในบางส่วน
เพราะในทุก ๆ ปี Google ตกลงยอมจ่ายเงินมหาศาลให้กับ Apple เพื่อขอให้ Google เป็นเว็บไซต์ค้นหาเริ่มต้นบนเบราว์เซอร์ Safari
โดยในปี 2021 คาดว่าค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4.9 แสนล้านบาท
ถ้าถามถึงเหตุผล ก็คงเป็นเพราะ Google ให้ความสำคัญกับการครองส่วนแบ่งตลาดเซิร์ชเอนจินมากกว่า เรื่องเบราว์เซอร์ เพราะตัวสร้างรายได้ให้ Google จะอยู่ที่เซิร์ชเอนจินเป็นหลัก
Google อยากได้แทรฟฟิกการค้นหาข้อมูลเบราว์เซอร์ Safari เพื่อปิดประตูไม่ให้ผู้เล่นรายอื่น เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดเซิร์ชเอนจินไป ถึงแม้จะรู้ว่า ทำให้มีคนใช้งาน Safari เพิ่มมากขึ้นก็ตาม
ส่วนฝั่ง Apple คงเลือกรับเงินดีกว่า เพราะอย่างไร คนส่วนใหญ่ก็จะเข้า Safari แล้วไปค้นหาใน Google อยู่ดี
ซึ่งอาจพอตีความได้ว่า ตอนนี้ทั้งคู่เลือกที่จะอยู่ร่วมกันบนโลกออนไลน์ แบบเป็นพันธมิตรกัน มากกว่าทำสงคราม แล้วต้องมีใครสักคนบาดเจ็บหนัก..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://acodez.in/browser-wars/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Browser_wars
-https://en.wikipedia.org/wiki/Usage_share_of_web_browsers
-https://gs.statcounter.com/browser-market-share#monthly-201201-202105
-https://www.reuters.com/technology/microsoft-unplug-internet-explorer-it-seeks-edge-browser-war-2021-05-20/
-https://9to5mac.com/2021/08/25/analysts-google-to-pay-apple-15-billion-to-remain-default-safari-search-engine-in-2021/
同時也有226部Youtube影片,追蹤數超過2萬的網紅momimaru / 日本一が教えるヒューマンビートボックス,也在其Youtube影片中提到,~momimaru(もみまる)オンラインでの完全個人レッスン~ こちらの動画を必ずご視聴頂きますようよろしくお願いいたします。 お問い合わせ用メールアドレス↓ [email protected] momimaruホームページ↓ https://momimaru-beatbox....
「spotify twitter search」的推薦目錄:
- 關於spotify twitter search 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於spotify twitter search 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於spotify twitter search 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於spotify twitter search 在 momimaru / 日本一が教えるヒューマンビートボックス Youtube 的最佳貼文
- 關於spotify twitter search 在 momimaru / 日本一が教えるヒューマンビートボックス Youtube 的最讚貼文
- 關於spotify twitter search 在 momimaru / 日本一が教えるヒューマンビートボックス Youtube 的最佳貼文
spotify twitter search 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
“ซิลิคอนแวลลีย์ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นวิธีคิด”
คำกล่าวของ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn แพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตซิลิคอนแวลลีย์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่สถานที่ ซิลิคอนแวลลีย์ คือ พื้นที่หุบเขาราว ๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบอ่าวซานฟรานซิสโก ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
ซิลิคอนแวลลีย์ประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ ที่ล้วนเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ซิลิคอนชิป” ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหน่วยความจำของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนในแง่วิธีคิด มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดปลูกฝังการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์ให้งอกงาม ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนากระบวนการผลิตนักศึกษาให้เป็นนักธุรกิจ
จนนำมาสู่การก่อตั้งบริษัทไอทีระดับโลกแห่งแรกในซิลิคอนแวลลีย์ คือ Hewlett Packard (HP)
หลังจากนั้น หุบเขาแห่งนี้ก็เบ่งบานไปด้วยบริษัทไอที ดึงดูดนักประดิษฐ์และผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีจากทั่วโลก ให้เข้ามาสานฝันให้กลายเป็นความจริง
และเมื่อมี “วิธีคิด” ช่วยส่องสว่าง นวัตกรรมทุกอย่างก็จะมีหนทางไป..
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2
ด้วยอาณาบริเวณกว้างใหญ่รอบอ่าวซานฟรานซิสโก ต้นน้ำแห่งนวัตกรรมของซิลิคอนแวลลีย์จึงไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเท่านั้น
แต่เหนือขึ้นมาราว 50 กิโลเมตร ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และสร้างนักประดิษฐ์ วิศวกร ไปจนถึงผู้ประกอบการชั้นยอดมากมาย มาประดับวงการไอที
หนึ่งในนั้นคือ Fred Moore ผู้ก่อตั้งสมาคมคอมพิวเตอร์โฮมบรูว์ สมาคมที่เป็นสถานที่นัดพบของผู้คลั่งไคล้ในโลกของเทคโนโลยี เป็นที่แลกเปลี่ยนทางความคิด
โดยความปรารถนาสูงสุดของผู้คนในสมาคมนี้ คือการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมาเอง
ในช่วงปี 1975 ที่มีการก่อตั้งสมาคมแห่งนี้
ความสำเร็จของการประดิษฐ์ “ไมโครโพรเซสเซอร์” ที่ย่อส่วนแผงวงจรรวมจำนวนมากเข้ามาอยู่ด้วยกันในชิปขนาดเล็ก
ทำให้ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จากที่มีขนาดใหญ่โตเท่าห้อง มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราคาก็ถูกลงเรื่อย ๆ และด้วยหน่วยความจำที่มากขึ้น ความสามารถในการทำงานจึงสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
Steve Wozniak นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้ชักชวนเพื่อนสมัยมัธยมที่ชื่อ Steve Jobs ให้มาเข้าร่วมสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งนี้..
Steve Wozniak เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิศวกรรมและมีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น เคยทำงานให้กับ Hewlett Packard
ส่วน Steve Jobs เป็นผู้มีหัวการค้า มีนิสัยกล้าคิดกล้าทำ เขาเคยทำงานให้กับบริษัทสร้างวิดีโอเกมชื่อ Atari และเคยทำงานในช่วงฤดูร้อนให้กับ Hewlett Packard ด้วยเช่นกัน
Wozniak ได้นำความรู้และประสบการณ์มาทดลองออกแบบคอมพิวเตอร์ด้วยแนวทางของตัวเอง โดยใช้ชิปเท่าที่จะหาได้ มาประกอบกับคีย์บอร์ด QWERTY และมีจอโทรทัศน์เป็นเครื่องแสดงผลในช่วงแรกเริ่ม
และเมื่อออกมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Jobs ก็เป็นผู้เสนอความคิดให้ลองนำสิ่งประดิษฐ์นี้ออกวางขายในเวลาต่อมา
ผลงานการประดิษฐ์ชิ้นนั้นของ Wozniak ถือเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรก ๆ ของโลก เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ถูกตั้งชื่อต่อมาว่า “Apple I”
สิ่งสำคัญไม่แพ้การสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาก็คือ “เสรีภาพทางความคิด”
ซิลิคอนแวลลีย์ มีสมาคมมากมายที่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทางความคิด นำเสนอไอเดีย จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำ และเติบโตไปบนหนทางสร้างสรรค์ที่ตัวเองตั้งใจ
คอมพิวเตอร์ของ Wozniak ก็ถูกนำเสนอแก่สายตาสมาชิกในสมาคมโฮมบรูว์ในช่วงปลายปี 1975 ซึ่งหนึ่งในผู้เข้ามาร่วมชม คือ เจ้าของร้าน The Byte Shop ร้านขายของเบ็ดเตล็ดและอุปกรณ์ไอที
ที่เกิดความประทับใจกับคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้มาก จึงได้สั่งซื้อคอมพิวเตอร์นี้ถึง 50 เครื่อง
แล้วก้าวแรกของบริษัท Apple ก็เริ่มต้นขึ้นในเมืองคูเปอร์ติโน ทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอีก 1 ปีถัดมา..
ใครจะไปเชื่อว่า จากบริษัทเล็ก ๆ ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี 2 คน
ในปี 1980 หลังการก่อตั้งเพียง 4 ปี บริษัทสามารถเติบโตจนเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นในฐานะบริษัทมหาชนได้สำเร็จ และได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในตอนนี้..
เมื่อมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว อีกหนึ่งก้าวสำคัญของซิลิคอนแวลลีย์ ก็เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970s
นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ “อินเทอร์เน็ต”
เมื่อบริษัทไอที ชื่อ Xerox ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยในเมืองพาโล อัลโต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อว่า Xerox Palo Alto Research Center หรือ Xerox PARC
Xerox PARC ได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมต่อ จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ในยุคแรกที่มีชื่อว่า ระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ต ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1973 โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ ผ่านเครือข่ายบริเวณระยะใกล้ หรือเครือข่าย LAN (Local Area Network)
ต่อมาในปี 1978 Vint Cerf ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ร่วมมือกับ Bob Kahn พัฒนาโพรโทคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
ซึ่งโพรโทคอลที่ว่านี้ คือชุดของขั้นตอนและกฎระเบียบ ทำให้ภายในชุดกฎระเบียบเดียวกัน ทั้ง 2 เครื่องจะสามารถเข้าใจระบบของกันและกัน และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
โดยเฉพาะเลข Internet Protocol (IP) ที่เป็นการปูรากฐานให้กับโลกของอินเทอร์เน็ต
อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะต้องมีเลขนี้ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกัน โดย IP จะระบุว่า เครือข่ายต่าง ๆ ควรเชื่อมโยงกันอย่างไร
เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตถูกปูรากฐาน ต่อมาในยุค 1980s ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
Doug Engelbart นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ได้มาทำงานให้ PARC และได้พัฒนาระบบส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ หรือ Graphic User Interface (GUI)
จากคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่ใช้งานยากและต้องใช้งานผ่านตัวอักษร
ระบบ GUI ได้เข้ามาช่วยเปลี่ยนการใช้งานให้ง่ายขึ้นผ่านทางสัญลักษณ์หรือภาพ เช่น ไอคอน หน้าต่างการใช้งาน เมนู ปุ่มเลือก รวมถึงการพัฒนา “ตัวชี้ตำแหน่ง X-Y” ซึ่งต่อมาก็คือ “เมาส์”
ทั้งระบบ GUI และเมาส์นี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Steve Jobs นำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาและเกิดเป็น “Macintosh” ในปี 1984 ซึ่งถือเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรก ๆ ที่มีการออกแบบอย่างเข้าใจผู้ใช้งาน
ในเวลานี้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครัวเรือนชาวอเมริกันที่ครอบครองคอมพิวเตอร์เพิ่มจากร้อยละ 5 ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
มาเป็นร้อยละ 20 ในปี 1989
โลกอินเทอร์เน็ตถูกเชื่อมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเปิดทางให้เกิดการพัฒนา World Wide Web ในช่วงปี 1989 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเมื่อ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการส่งข้อมูลให้กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
World Wide Web, WWW คือ ระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่งข้อมูลที่อยู่ห่างไกลทั่วโลก ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
โดยผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์”
แล้ว “สาธารณชน” ในยุค 1990s ก็เข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก!
สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสัดส่วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 1996 มีชาวอเมริกันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 16
ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปตะวันตกยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ถึงร้อยละ 5
การเกิดขึ้นของ World Wide Web ทำให้ย่านซิลิคอนแวลลีย์เริ่มคึกคักไปด้วยบริษัทที่มีโมเดลทำรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ขึ้นมามากมาย
และสิ่งสำคัญที่สุด ที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทไอทีในยุค 1950s คือ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital ดึงดูดให้บริษัทสตาร์ตอัปมากมาย หลั่งไหลเข้ามาใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้
นักศึกษาปริญญาเอกสาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 2 คน
คือ Larry Page และ Sergey Brin ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Search Engine
โดยใช้การทำงานของ Robot ที่ชื่อว่า Spider ซึ่งเป็นตัวสำรวจข้อมูล เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง
ปี 1998 ทั้ง 2 คน ได้ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Google” ในเมืองเมนโลพาร์ก และ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้นในอีก 5 ปีถัดมา
แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัท Apple เพราะอีก 20 ปีต่อมา บริษัท Google ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet ก็ได้กลายมาเป็น บริษัทที่มีมูลค่าเป็นอันดับ 5 ของโลก..
แม้ความรุ่งเรืองจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต จะพาซิลิคอนแวลลีย์เข้าสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไปจนเกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 จนสร้างความเสียหายหลายบริษัทและนักลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนั้น ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ หุบเขาแห่งนี้ได้
หลังจากวิกฤติไม่นาน ก็มีการพัฒนาระบบ IPv6 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IP ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น นอกเหนือจากเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งปูทางมาถึงการเกิดขึ้นของ “สมาร์ตโฟน” โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถในการใช้งานมัลติมีเดีย และเชื่อมต่อเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ตอย่างไร้รอยต่อ ด้วยระบบ IPv6
หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ iPhone จากบริษัท Apple ที่เปิดตัวในปี 2007
เช่นเดียวกับ Google ที่ได้เข้าซื้อบริษัท Android และเปิดตัวโทรศัพท์แอนดรอยด์ในปี 2008
และทั้งสองก็แข่งขันกันพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเอง
เมื่อผู้คนเริ่มใช้สมาร์ตโฟนมากขึ้น นำมาสู่การเกิดขึ้นของ “Application” ซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการทำงานต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน
โดยแอปพลิเคชัน จะมีส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) หรือ UI เพื่อเป็นตัวกลางในการใช้งานให้ราบรื่น
และด้วยความที่ซิลิคอนแวลลีย์เต็มไปด้วย Venture Capital ที่คอยให้เงินทุนสนับสนุนไอเดียล้ำ ๆ
หุบเขาแห่งนี้ จึงยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทใหม่มากมาย โดยเฉพาะบริษัทที่จะมาสร้างสรรค์เครือข่ายสังคมออนไลน์..
ปี 2003 LinkedIn เกิดแพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน
ก่อตั้งโดย Reid Garrett Hoffman วิศวกรที่เคยทำงานให้กับ Apple
ปี 2004 เกิด Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของ Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน
ปี 2006 หลังออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน
ได้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร
โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคำว่า Tweet ซึ่งแปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก และบริษัทนี้มีชื่อว่า Twitter
ปี 2009 เกิด WhatsApp แอปพลิเคชันในการติดต่อสื่อสารด้วยข้อความ ก่อตั้งโดย Jan Koum โปรแกรมเมอร์ที่เห็นประโยชน์จากการเกิดขึ้นของสมาร์ตโฟน
บริษัททั้งหมดล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
หุบเขาแห่งเทคโนโลยีแห่งนี้ยังคงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้าไปเติมเต็มความฝัน เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ไอทีที่ไฮเทคขึ้นเรื่อย ๆ
และเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกของเครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเชื่อมต่อกันและกัน หรือเรียกว่า “Internet of Things” ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิต
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจของโลก ล้วนมีที่มาจากหลายปัจจัย
ทั้งระบบการศึกษาที่เข้มแข็ง ที่สร้างองค์ความรู้และช่วยวางรากฐานสู่โลกธุรกิจ
วัฒนธรรมแห่งเสรีภาพ ที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
แหล่งเงินทุน ที่เข้าถึงง่ายและมีหลากหลายรูปแบบ
และเครือข่ายผู้คิดค้นนวัตกรรมที่เติมเต็มความฝันต่อยอดกันไปไม่รู้จบ
หากถามว่า อิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาจะคงอยู่อีกนานแค่ไหน ?
เมื่อไรที่มนุษย์จะหยุดฝัน เมื่อนั้นอาจเป็นคำตอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-มิเชลล์ ควินน์, เมื่อซิลิคอนแวลลีย์เติบใหญ่ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562
-https://www.parc.com/about-parc/parc-history/
-https://www.internetsociety.org/wp-content/uploads/2017/09/ISOC-History-of-the-Internet_1997.pdf
-https://searchnetworking.techtarget.com/definition/TCP-IP
-https://www.lifewire.com/transmission-control-protocol-and-internet-protocol-816255
-https://tradingeconomics.com/united-states/personal-computers-per-100-people-wb-data.html
-https://www.businessinsider.com.au/highest-valued-public-companies-apple-aramco-biggest-market-cap-2020-1
-https://www.forbes.com/profile/reid-hoffman/#5f276ca61849
-http://startitup.in.th/the-rags-to-rich-jan-koum-whatsapp-co-founder-startup-story/
-https://www.set.or.th/set/enterprise/html.do?name=vc
spotify twitter search 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
ใครคิดค้น #แฮชแท็ก เครื่องหมายสำคัญของโลก /โดย ลงทุนแมน
สมัยก่อน ถ้านึกถึงเครื่องหมาย # ในชีวิตประจำวันเรา
เครื่องหมายดังกล่าวคงเป็นเพียงปุ่มบนโทรศัพท์มือถือ
แต่ในปัจจุบันเครื่องหมาย # หรือที่เรียกกันว่า “แฮชแท็ก” สามารถพบเห็นได้ทั่วไปบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อย่างเช่น Instagram, Facebook และ TikTok รวมทั้งยังเป็นฟีเชอร์หลักของ Twitter
นอกจากนั้นเครื่องหมายแฮชแท็กยังถูกใช้อย่างแพร่หลายจนออกไปสู่นอกโลกอินเทอร์เน็ต เช่น การนำไปเป็นแคมเปนการตลาดอีกด้วย
แล้วเราเคยสงสัยหรือไม่ว่าใครกันเป็นคนคิดแฮชแท็ก
มันถูกนำมาใช้บนโซเชียลมีเดียครั้งแรกเมื่อไหร่
และมันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกอินเทอร์เน็ตไปได้อย่างไรบ้าง ?
#ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีก่อน หรือในปี 2007 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ชื่อว่า Twitter เพิ่งเริ่มเปิดตัวไปได้ไม่นาน ซึ่งทางผู้พัฒนาได้เริ่มให้ผู้คนที่อยู่ในละแวกเดียวกัน นั่นก็คือที่ซิลิคอนแวลลีย์ เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มทดลองใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นกลุ่มแรก
หนึ่งในนั้นก็คือคุณ “Christopher Reaves Messina” ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 26 ปี และทำงานด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และเป็นที่ปรึกษาด้านอินเทอร์เน็ต อยู่ที่ซิลิคอนแวลลีย์
เขามองว่าสิ่งสำคัญที่ Twitter ยังขาดอยู่ก็คือ ไม่มีการจัดหมวดหมู่ของข้อความที่เป็นประเด็นเดียวกัน
จึงทำให้การพูดคุยแบบกลุ่มหรือการค้นหาเรื่องราวตามความสนใจในแต่ละประเด็นทำได้ยาก
ด้วยความที่ Messina คุ้นเคยกับระบบแช็ตออนไลน์อยู่แล้ว เขาจึงนึกถึงการใช้เครื่องหมาย # ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 1988 ในระบบแช็ตบนอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Internet Relay Chat หรือ IRC ซึ่งคล้ายกับ MSN ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคย
การใช้งานเครื่องหมาย # บนระบบ IRC คือการใช้พิมพ์นำหน้าคำหรือวลีที่เป็นหัวข้อสนทนา
เขาเลยเกิดไอเดียว่าน่าจะนำเครื่องหมาย # มาใช้จัดหมวดหมู่ประเด็นการพูดคุยใน Twitter บ้าง
โดยสิ่งที่พิมพ์อยู่หลังเครื่องหมาย # จะทำให้สามารถคลิกเข้าไปได้และจะนำไปสู่คลังข้อความที่โพสต์โดยใครก็ตามที่พิมพ์ # แล้วตามด้วยคำคีย์เวิร์ดเดียวกัน
ที่สำคัญก็คือนอกจากด้านการเป็นผู้ติดตามประเด็นต่าง ๆ แล้ว
ประโยชน์ของเครื่องหมาย # ยังทำให้ผู้ใช้งาน Twitter ทุกคนเป็นผู้สร้างประเด็นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
Messina จึงเขียนอธิบายไอเดียทั้งหมดของเขา แล้วนำไอเดียนี้ไปเสนอที่สำนักงานของ Twitter ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นออฟฟิศขนาดเล็กที่ไม่มีแม้แต่ผู้ดูแลตรงประตูทางเข้า ทำให้เขาเดินเข้าไปได้เลย และได้เจอกับ Biz Stone หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter
Stone รับฟังไอเดียที่ Messina นำเสนอแบบผ่าน ๆ และบอกเขาว่า มันดูเนิร์ดเกินไป ไม่มีทางได้รับความนิยมหรอก
แม้ว่าไอเดียของเขาจะถูกปฏิเสธ แต่ Messina ยังเชื่อว่าการจัดกลุ่มประเด็นสนทนาเป็นสิ่งที่ Twitter ควรมี
เขาเลยลองทวีตถามผู้ใช้งาน Twitter เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2007 ว่า
"how do you feel about using # (pound) for groups. As in #barcamp [msg]?"
หรือก็คือ คิดเห็นอย่างไรกับการใช้เครื่องหมาย # สำหรับการจัดกลุ่มประเด็นสนทนาแบบใน BarCamp ซึ่งเป็นชื่อของแพลตฟอร์มแช็ตออนไลน์
อีก 3 วันถัดมา Stowe Boyd ผู้เป็นบล็อกเกอร์ที่มีชื่อเสียงในวงการเทคโนโลยีอยู่แล้ว
ได้เขียนบทความที่ชื่อว่า “Hash Tags = Twitter Grouping” ซึ่งอธิบายการใช้เครื่องหมาย # ใน Twitter ของ Messina โดยคำว่า Hash ก็มาจากชื่อเรียกเครื่องหมาย # ของคนอังกฤษและเหล่าโปรแกรมเมอร์
นั่นจึงทำให้เครื่องหมาย # ที่ใช้ใน Twitter มีชื่อเรียกว่าแฮชแท็กตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2007 ได้กลายเป็นวันเกิดของแฮชแท็ก โดยมี #barcamp เป็นแฮชแท็กแรกของโลก
2 เดือนถัดมา แฮชแท็กได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายเป็นครั้งแรก และในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง
ก็ได้เกิดเหตุการณ์ไฟป่าที่เมืองซานดิเอโก เพื่อนของ Messina ได้ใช้ Twitter เพื่อโพสต์ข้อความอัปเดตสถานการณ์ เขาเลยบอกเพื่อนให้ลองใช้แฮชแท็ก #sandiegofire
หลังจากทวีตข้อความที่มีแฮชแท็กไป ก็มีผู้ใช้งาน Twitter เริ่มใช้แฮชแท็กนี้ตามกันมากมาย จนกลายเป็นประเด็นสนทนาที่มีผู้ร่วมพูดคุยเป็นวงกว้าง ทั้งเพื่อติดตามและช่วยกันอัปเดตสถานการณ์ไฟป่าที่กำลังเกิดขึ้น
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่แสดงให้ผู้พัฒนา Twitter เห็นถึงความสำคัญของการจัดกลุ่มประเด็นสนทนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงผู้ใช้งานทั้งหมดบนแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันได้
หลังจากนั้นการใช้แฮชแท็กใน Twitter ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จน 2 ปีถัดมา หรือในปี 2009 Twitter ได้เพิ่มทางเลือกในการเซิร์ชด้วยแฮชแท็กเข้าไปอย่างเป็นทางการ
และในปีถัดมา Twitter ก็ได้เริ่มจัดทำ Trending Topics ซึ่งแสดงแฮชแท็กหรือคำที่ถูกพูดถึงมากที่สุดแบบเรียลไทม์
จากความสำเร็จของแฮชแท็กบน Twitter แพลตฟอร์มอื่นอย่างเช่น Instagram จึงเริ่มพัฒนาระบบแฮชแท็กมาตั้งแต่วันที่เปิดตัวแอปพลิเคชันในปี 2010 และตามมาด้วย Facebook ที่เริ่มให้ผู้ใช้งานใช้แฮชแท็กได้ในปี 2013
หลังจากนั้นการใช้แฮชแท็กก็กลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปบนโลกอินเทอร์เน็ต
โดยในแต่ละวันมีแฮชแท็กเกิดขึ้นใหม่ทั่วโลกกว่าร้อยล้านแฮชแท็ก
แล้วถ้าถามว่าการคิดค้นแฮชแท็ก จนถูกใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกมาตลอด 14 ปี
ทำเงินให้ Messina ไปได้มากขนาดไหน ?
คำตอบก็คือ 0 บาท
ซึ่งนั่นก็เป็นความตั้งใจของ Messina ที่ไม่คิดจะจดสิทธิบัตรแฮชแท็ก
ทั้งที่ความจริงแล้วเขาสามารถจดสิทธิบัตรเพื่อรับเงินจำนวนมหาศาลได้
เพราะเขาไม่ได้คิดแฮชแท็กขึ้นมาเพื่อ Twitter หรือแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ต้องการให้เครื่องหมายและการใช้งานรูปแบบนี้ เป็นของใครก็ตามที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต ไม่ควรมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ ซึ่งเขายังคงรู้สึกดีใจทุกครั้งว่าสิ่งที่เขาคิดขึ้นมา ถูกนำไปใช้ต่อโดยผู้คนมากมาย
แม้ว่าผู้ที่คิดค้นแฮชแท็กจะไม่ได้รับผลตอบแทนในรูปของเงิน แต่การใช้แฮชแท็กกลับสามารถสร้างมูลค่าให้กับกลุ่มคนอื่น ๆ รวมไปถึงสังคมได้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการนำแฮชแท็กไปใช้เป็นเครื่องมือในการทำการตลาด อย่างการใช้แฮชแท็กเพื่อสร้างกระแสบนโลกโซเชียลในวันเปิดตัวสินค้า เช่น #นี่มาแน่ ของการเปิดตัว Disney+ Hotstar ในประเทศไทย หรือการใช้แฮชแท็กเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมทางการตลาด เช่น #Lazada77 แจกคูปองช้อปกระจาย ของ Lazada
ที่มากกว่านั้นก็คือ แฮชแท็กยังเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม ยกตัวอย่างเช่น
#MeToo ที่ร่วมกันรณรงค์ให้ยุติการคุกคามทางเพศ
#BlackLivesMatter ที่ร่วมกันรณรงค์ให้ยุติการเหยียดสีผิว
#StopAsianHate ที่ร่วมกันรณรงค์ให้ยุติความเกลียดชังต่อชาวเอเชีย รวมถึงยุติการเหยียดเชื้อชาติ
ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงการรณรงค์ที่เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มคนหรือในประเทศใดประเทศหนึ่ง
แต่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นที่มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นและช่วยกันขับเคลื่อนในระดับโลก
ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าต้นกำเนิดของแฮชแท็กจะเกิดขึ้นจากนักออกแบบผลิตภัณฑ์อย่าง Messina ที่มองว่าเครื่องหมายนี้จะทำให้ Twitter มีการจัดหมวดหมู่ประเด็นและคีย์เวิร์ดที่เป็นระบบมากขึ้น
ซึ่งไอเดียดังกล่าว ก็ได้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Twitter กลายเป็นโซเชียลมีเดีย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
จนวันนี้กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเกินกว่า 1.8 ล้านล้านบาท
นอกจากแฮชแท็กจะนำพาความสำเร็จให้กับแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียแล้ว
เครื่องหมายนี้ ก็ยังมีบทบาทอีกมากมายทั้งในเชิงธุรกิจ การรณรงค์เพื่อเพื่อนมนุษย์
การอัปเดตประเด็นสำคัญ ไปจนถึงการรายงานอุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติ
ทั้งหมดนี้ ก็ทำให้เราสรุปได้ว่า “#แฮชแท็ก” ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องหมายสำคัญของโลก ไปแล้วนั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.cnbc.com/2020/01/09/how-chris-messina-got-twitter-to-use-the-hashtag.html
-https://stoweboyd.com/post/39877198249/hash-tags-twitter-groupings
-https://www.nytimes.com/2012/11/04/magazine/in-praise-of-the-hashtag.html
-https://www.wsj.com/articles/BL-DGB-29742
-https://medium.com/@biz/the-hashtag-at-ten-years-young-d1454f4dd785
-https://www.vox.com/culture/2017/8/23/16188868/hashtag-cultural-influence-twitter-demthrones-rap
-https://socialmediaweek.org/blog/2018/02/history-hashtags-symbol-changed-way-search-share/
-https://twitter.com/chrismessina/status/223115412?lang=en
spotify twitter search 在 momimaru / 日本一が教えるヒューマンビートボックス Youtube 的最佳貼文
~momimaru(もみまる)オンラインでの完全個人レッスン~
こちらの動画を必ずご視聴頂きますようよろしくお願いいたします。
お問い合わせ用メールアドレス↓
[email protected]
momimaruホームページ↓
https://momimaru-beatbox.amebaownd.com/
~新チャンネル開設~
チャンネル登録よろしくお願いします
↓
https://www.youtube.com/channel/UCDrYZvJ7T2g9Z1yvxUe0TQQ?sub_confirmation=1
毎週水曜日21時アップ!!
ーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーー
【新体制momimaruについて】
▼目次
0:00 オープニング
0:18 お知らせ1つ目
0:55 お知らせ2つ目
2:19 お知らせ3つ目
☆ーーーーーーーーー☆
~日本一が教えるヒューマンビートボックス講座~
どうも。ヒューマンビートボクサーのmomimaruです。
2018年の公式大会日本チャンピオンです。
皆さんは外出自粛の今、何してますか?
せっかくならビートボックス始めてみたり、
今よりももっと 上手くなってみてはいかがでしょうか。
オンラインでヒューマンビートボックスの
レッスンスクールもやっている僕がこの講座を通して
皆さんにビートボックスをレクチャーします!
今回新体制momimaruの3つのお知らせです!
【この講座は初心者から経験者まで、誰もが得する内容になっています】
質問はコメント欄にお願いします!
チャンネル登録やグッドボタンよろしくお願いいたします!
#1 基礎の音の動画はこちら↓
https://www.youtube.com/watch?v=mtl3I6YGhPo
------------------------------------------------------------------------------------
~momimaru~ First single!!!!
♫【Indigo Blue】♫
各種配信サービスにてデジタルリリース!
Spotify
https://open.spotify.com/album/2WUOA5cIw1IZcOqZbRdxNu?si=5M9M4e8WQ5Gy43Ri043rXA
Apple Music
https://music.apple.com/jp/album/indigo-blue-ep/1543087074
レコチョク
https://recochoku.jp/search/all?q=momimaru+&affiliate=4410101027
ドワンゴジェイピー
https://pc.dwango.jp/searches/artist/momimaru
☆その他配信サービスでもリリースされております☆
★チャンネル登録はこちらから
https://www.youtube.com/channel/UCz9l7XujhA1O7Ntkg9fPbAA?sub_confirmation=1
★Twitter
https://twitter.com/momimaru
★Instagram
https://www.instagram.com/momimaru_beatbox/
★ホームページ
https://momimaru-beatbox.amebaownd.com/
▼問い合わせや出演依頼等はこちら
momimaru830@gmail.com
#ビートボックス
#ボイパ
#レッスン
#講座
#初心者
spotify twitter search 在 momimaru / 日本一が教えるヒューマンビートボックス Youtube 的最讚貼文
~momimaru(もみまる)オンラインでの完全個人レッスン~
現在、募集を締め切らせて頂いております。
近日中に再度募集予定です。
お問い合わせ用メールアドレス↓
momimaru830@gmail.com
momimaruホームページ↓
https://momimaru-beatbox.amebaownd.com/
ーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーー
【ビートボックスの練習の仕方はここまで変わった!!!日本一が教える学びの歴史】
▼目次
0:00 オープニング
1:32 レッスン開始前オリエンテーション
3:34 どうやってレッスンを行うか
4:30 1回目のレッスン(8/27)
7:01 2回目のレッスン(9/3)
9:14 3回目のレッスン(9/10)
10:02 1ヵ月レッスン終了時点でのインタビュー
11:09 momimaruのコメント
11:50 レッスンの成果(9/17)
12:28 まとめ&レッスンを受けるには...
☆ーーーーーーーーー☆
momimaruが講師として所属するレッスン教室!
※こちらでは集団授業と動画教材のみで個人レッスンは
行っておりません。
●ビートボックスカレッジ
HP↓
https://beatboxcollege.com/
Twitter↓
https://twitter.com/ikbeatbox
Instagram↓
https://www.instagram.com/ikdesu/
☆---------☆
Kanekoくん ↓
https://www.instagram.com/kusobakayarou/
---
~日本一が教えるヒューマンビートボックス講座~
どうも。ヒューマンビートボクサーのmomimaruです。
2018年の公式大会日本チャンピオンです。
皆さんは外出自粛の今、何してますか?
せっかくならビートボックス始めてみたり、
今よりももっと 上手くなってみてはいかがでしょうか。
オンラインでヒューマンビートボックスの
レッスンスクールもやっている僕がこの講座を通して
皆さんにビートボックスをレクチャーします!
今回はガチの初心者にmomimaruが
一か月ガチでレッスンしたらどれくらい変わるの!?
【ビートボックス日本一のオンラインレッスンってどれくらいすごいの!?】
【この講座は初心者から経験者まで、誰もが得する内容になっています】
質問はコメント欄にお願いします!
チャンネル登録やグッドボタンよろしくお願いいたします!
#1 基礎の音の動画はこちら↓
https://www.youtube.com/watch?v=mtl3I6YGhPo
------------------------------------------------------------------------------------
~momimaru~ First single!!!!
♫【Indigo Blue】♫
各種配信サービスにてデジタルリリース!
Spotify
https://open.spotify.com/album/2WUOA5cIw1IZcOqZbRdxNu?si=5M9M4e8WQ5Gy43Ri043rXA
Apple Music
https://music.apple.com/jp/album/indigo-blue-ep/1543087074
レコチョク
https://recochoku.jp/search/all?q=momimaru+&affiliate=4410101027
ドワンゴジェイピー
https://pc.dwango.jp/searches/artist/momimaru
☆その他配信サービスでもリリースされております☆
★チャンネル登録はこちらから
https://www.youtube.com/channel/UCz9l7XujhA1O7Ntkg9fPbAA?sub_confirmation=1
★Twitter
https://twitter.com/momimaru
★Instagram
https://www.instagram.com/momimaru_beatbox/
★ホームページ
https://momimaru-beatbox.amebaownd.com/
▼問い合わせや出演依頼等はこちら
momimaru830@gmail.com
#ビートボックス
#ボイパ
#レッスン
#講座
#初心者
spotify twitter search 在 momimaru / 日本一が教えるヒューマンビートボックス Youtube 的最佳貼文
▼目次
0:00 オープニングとバトル動画概要
0:48 解説
21:30 まとめ
---
~日本一が解説!! 動画で学ぶ、ヒューマンビートボックス講座~
どうも。ヒューマンビートボクサーのmomimaruです。
2018年の公式大会日本チャンピオンです。
オンラインでヒューマンビートボックスの
レッスンスクールもやっている僕がこの講座を通して
皆さんにビートボックスをレクチャーします!
今回はGBB目前という事で、過去のGBBを振り返る!!
UKチャンピオン VS フランスチャンピオン
D-LOW vs COLAPSの一戦!!
【この講座は初心者から経験者まで、誰もが得する内容になっています】
元の参考動画↓------------------------------------------------------------
♫D-LOW vs COLAPS | Grand Beatbox Battle 2019 | 1/4 Final↓
https://www.youtube.com/watch?v=U4q6QbELx1s&list=RDU4q6QbELx1s&start_radio=1
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
D-LOWのチャンネル↓
@D-low Music
D-LOW Instagram↓
https://www.instagram.com/dlowmusic/
♫D-LOW | Grand Beatbox Battle 2018 Compilation↓
https://www.youtube.com/watch?v=ctcDesDhmb0
COLAPSのチャンネル↓
@Colaps
COLAPS Instagram↓
https://www.instagram.com/colapsbbx/
♫COLAPS | Grand Beatbox Battle 2019 | Solo Elimination↓
https://www.youtube.com/watch?v=c8f0mnrhtmA
質問はコメント欄にお願いします!
チャンネル登録やグッドボタンよろしくお願いいたします!
#1 基礎の音の動画はこちら↓
https://www.youtube.com/watch?v=mtl3I6YGhPo
------------------------------------------------------------------------------------
~momimaru~ First single!!!!
♫【Indigo Blue】♫
各種配信サービスにてデジタルリリース!
Spotify
https://open.spotify.com/album/2WUOA5cIw1IZcOqZbRdxNu?si=5M9M4e8WQ5Gy43Ri043rXA
Apple Music
https://music.apple.com/jp/album/indigo-blue-ep/1543087074
レコチョク
https://recochoku.jp/search/all?q=momimaru+&affiliate=4410101027
ドワンゴジェイピー
https://pc.dwango.jp/searches/artist/momimaru
☆その他配信サービスでもリリースされております☆
★チャンネル登録はこちらから
https://www.youtube.com/channel/UCz9l7XujhA1O7Ntkg9fPbAA?sub_confirmation=1
★Twitter
https://twitter.com/momimaru
★Instagram
https://www.instagram.com/momimaru_beatbox/
★ホームページ
https://momimaru-beatbox.amebaownd.com/
▼問い合わせや出演依頼等はこちら
momimaru830@gmail.com
#ビートボックス
#GBB
#解説
#D-low
#colaps