真. 「截水喉」外交
之前中國駐土以其大使响Twiiter就新疆嘅評論反擊當地政客,包括安卡拉自治區市長Mansur Yavas。
今日Mansur Yavas派人去領事館門外截水喉停水,領事館當然即時譴責啦。
"The Chinese side resolutely opposes and strongly condemns any challenge by any person or power to China's sovereignty and territorial integrity."
領事館無疑係中國嘅主權,唔知由出面入去嘅嗰條水管點計呢?
#截水喉
Photo Source:ibrahim Haskoloğlu
原Tweet:https://twitter.com/haskologlu/status/1379797474278305801?s=20
***************************************
每日更新乞兒兜Patreon:
https://www.patreon.com/goodbyehkhellouk
MeWe:https://mewe.com/p/goodbyehkhellouk
Twitter:@ByeHKHiUK
IG:@goodbyehkhellouk
📣最近更新:
拗到永遠嘅English Tea落奶先後問題,可以同硬水有關
https://bit.ly/2PTJGVB
英式狠辣言論嘅代表,菲臘親王語錄
https://bit.ly/3mGSUjV
北愛暴力衝突再重現嘅原因
https://bit.ly/3dM1gTt
格陵蘭大選結束,嗰個蘊藏量僅次於中國嘅稀土礦危喇
https://bit.ly/3d1bIr4
***************************************
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
territorial person 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
การศึกษารัฐในแง่รัฐศาสตร์
(คัดลอกมาจากตำรา สิทธืกร ศักดิ์แสง "หลักกฎหมายมหาชน" กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์นิติธรรม,2554)
การมองรัฐในแง่รัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ในสังคมวิทยา เป็นการศึกษาในแง่รูปธรรม เป็นการมองรัฐในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริง (Face) ซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยการสัมผัส นักสังคมวิทยาให้คำจำกัดความของคำว่า “รัฐ” ว่าส่วนหนึ่งของโลกและภายในกลุ่มมนุษย์ ได้มีการแยกปัจเจกบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มออกเป็น 2 พวก อย่างชัดเจนได้แก่ ผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง ทั้งนี้โดยอำนาจที่ผู้ปกครองซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยใช้ในการปกครองบังคับบัญชาผู้ใต้ปกครอง ซึ่งเป็นกลุ่มคนหรือสมาชิกส่วนมากของกลุ่มเป็นอำนาจที่มีลักษณะสูงสุดที่เรียกว่า “อำนาจอธิปไตย” (Sovereignty) ซึ่งบ่งบอกถึงอำนาจว่าเป็นอำนาจสูงสุด (Suprem Power) ลักษณะของรัฐในแง่รัฐศาสตร์ มี 4 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ชุมชนซึ่งประกอบด้วยพลเมืองจำนวนหนึ่งอาจจะมากหรือน้อยก็ได้ (มีประชากร)
ประการที่สอง ชุมชนเหล่านี้มีหลักแหล่งที่อยู่มั่นคงถาวรในดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งของโลก (มีดินแดน)
ประการที่สาม มีอิสระในการดำเนินการทั้งหลายโดยปราศจากการควบคุมจากอำนาจภายนอกรัฐ(มีอำนาจอธิปไตย)
ประการที่สี่ มีหน่วยปกครองตนเอง คือ รัฐบาล ซึ่งสมาชิกแห่งชุมชนนั้นเชื่อฟังและให้การยอมรับนับถือว่าเป็นผู้ใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย
2.1 รัฐเป็นสังคมมนุษย์รูปแบบหนึ่ง
คำกล่าวของอริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีก โบราณ กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Man is Social Animal) ซึ่งหมายความว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีสัญชาติญาณหรือมีความโน้มเอียงตามธรรมชาติที่จะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นเป็นกลุ่มสังคม และขณะเดียวกันก็ไม่อาจแยกตัวไปมีชีวิตที่ดีนอกสังคมได้จะมีการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นเท่านั้น มนุษย์แต่ละคนจึงจะสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ ซึ่งหากอยู่นอกสังคมก็จะไม่แตกต่างกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งแยกอธิบายได้ดังนี้
2.1.1 ความหมายของสังคมมนุษย์
สังคม (Social) หมายถึง การที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะและมีการกระทำเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและกันตามสถานะภาพและบทบาทที่ถูกกำหนดไว้ในบรรดากฎเกณฑ์ที่กำหนดแบบแผนความประพฤติในประเภทต่างๆ เช่น หลักศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎหมาย การรวมตัวของสังคมมนุษย์อาจมีเหตุผล 2 ลักษณะ คือ
1.เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์มหาชน คือ
1) ต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินซึ่งถือเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยมีเงื่อนไข 2 ประการ คือ
(1) ความมั่นคงของรัฐ ที่ปราศจากการุกรานจากต่างชาติ เพราะหากต่างชาติรุกรานคนในรัฐก็จะไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
(2) ความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีสงคราม ไม่มีการจลาจลเป็นต้น เพราะหากมีกรณีดังกล่าวข้างต้นคนในรัฐก็ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
2) ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือมีสิ่งที่เรียกว่า กินดีอยู่ดี ทั้งกายภาพและทางจิตใจ อันเป็นคุณภาพชีวิต เช่นมีสุขภาพดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายในชีวิต โดยมีเงื่อนไข 2 ประการ คือ
(1) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
(2) ความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม
2.เป็นการร่วมกันกระทำการให้ได้มาซึ่งประโยชน์ที่ทุกคนต้องการและแต่ละคนไม่สามารถกระทำได้เพียงลำพังตนเองได้ จึงต้องกระทำร่วมกันช่วยเหลือเกื้อกูลตามสถานภาพบทบาทที่เกิดขึ้น
2.1.2 สถานะภาพหรือบทบาทของคนในสังคม
สถานะภาพของบุคล (Status Person) คือ สถานะตามกฎหมายที่ได้รับความคุ้มครองตามสิทธินั้นหรือไม่และสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองเกี่ยวเนื่องกับการเป็นบุคคล โดยบุคคลเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล รวมทั้งความสามารถในการใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับผู้ที่มีสถานะนั้น และใช้ยันบุคคลได้ทั่วไป สถานะของบุคคลจะเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปได้ก็เฉพาะตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งสถานะดังกล่าวอาจจะเป็นสถานะของบุคคลในประเทศชาติ เช่น สัญชาติของบุคคลหรือสถานะในครอบครัว ได้แก่ เพศ อายุ บิดามารดา บุตร สามีหรือภรรยาและความสามารถของบุคคลเป็นต้น
บทบาท คือ บรรดาสิทธิและหน้าที่ต่างๆ ของคนที่อยู่ในสถานะภาพหนึ่ง สถานะภาพใด เช่น บิดามารดามีบทบาทหรือหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร ผู้เยาว์ และบุตรมีบทบาทหน้าที่ต้องเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนบิดามารดาและมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาในยามชราภาพ เป็นต้น
การดำรงสถานะภาพหรือบทบาทในสังคมในแต่ละสถานะภาพจะมีสิทธิและหน้าที่ประจำตามสถานะที่ตนดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อทราบว่าเราอยู่ในสถานะใดเราก็ทราบว่าเรามีสิทธิและหน้าที่หรือมีบทบาทที่จะต้องกระทำเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
2.1.3 ประเภทของสังคมมนุษย์
ประเภทของสังคมมนุษย์ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ชุมชน และสมาคม
1. ชุมชน (Community) เป็นสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้จงใจก่อตั้งขึ้นมา แต่ชุมชนได้ค่อยๆเกิดขึ้นและวิวัฒนาการผันเปลี่ยนแปลงไปในตัวเอง ซึ่งได้แก่
1) ครอบครัว เป็นสังคมมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากสัญชาติญาณของมนุษย์ได้แก่สัญชาติญาณ 2 สัญชาติญาณ สัญชาติญาณที่ 1 ของความเป็นแม่ซึ่งมีอยู่ในผู้หญิงทุกคนทำให้มารดาเลี้ยงบุตรผูกพันให้ผู้หญิงอยู่ร่วมกับบุตร สัญชาติญาณที่ 2 คือสัญชาติญาณที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นสัญชาติญาณทางเพศ ที่จะผลักดันให้ชายกับหญิงมาอยู่ร่วมกันอย่างถาวร อันทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาและบิดามารดา
2) โคตรตระกูล เกิดจากการขยายตัวของครอบครัวอันเป็นความสัมพันธ์ทางสายโลหิต มีบรรพบุรุษเดียวกัน มีผู้สืบสันดานเดียวกัน ผูกพันเป็นโคตรตระกูล
3) เผ่า เกิดจากการขยายของโคตรตระกูลเพราะนับสืบต่อๆไปจึงกลายเป็นเผ่า
4) ชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของมนุษย์ แต่เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติหลายๆประการ เช่นชาติไทย ชาติลาว ชาติจีน ชาติเยอรมัน เป็นต้น ซึ่งมีปัจจัยที่ทำให้เกิดสังคมมนุษย์ที่เรียกว่า ชาติ ดังนี้
(1) ปัจจัยทางชาติพันธุ์ ได้แก่ การมีผิวพรรณ ศาสนา ภาษาพูด วัฒนธรรมอย่างเดียว จึงก่อให้เกิดความผูกพันเป็นชาติขึ้น
(2) ปัจจัยที่อยู่เหนือดินแดนใดดินแดนหนึ่ง ซึ่งทำให้รู้สึกว่ามีประโยชน์ร่วมกันขึ้นแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
(3) ปัจจัยการมีปฏิกริยาตอบสนองต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างเดียวกัน ในลักษณะที่คล้ายกันก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
(4) ปัจจัยอื่นได้แก่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เช่นสงครามหรือภัยพิบัติที่ทำให้คนจำนวนมากมาตกอยู่ในภาวะเดียวกัน ก่อให้เกิดความทรงจำร่วมกันว่าเคยผ่านพ้นภัยวิบัติมาด้วยกัน ทำให้เกิดความผูกพันรักใคร่แม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้มนุษย์แต่ละคนรวมตัวกันขึ้นเป็นชาติ ทำให้รู้สึกตนว่าอยู่ภายในกลุ่มๆหนึ่งเป็นเอกภาพในชาติขึ้น เช่น รู้สึกว่าเราเป็นคนไทย เป็นพวกเดียวกันเป็นชาติเดียวกันผูกพันกัน
2.ประเภทสมาคม นั้นมีที่มา และลักษณะของประเภทของมนุษย์แบบสมาคม คือ
1) ที่มาของสังคมมนุษย์แบบสมาคม ดังนี้
(1) เป็นสังคมมนุษย์ที่มีการจัดตั้งองค์กรอย่างเป็นกิจจะลักษณะเพื่อดำเนินการให้บรรลุความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างที่สมาชิกอยู่ร่วมกัน
(2) เป็นสังคมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นสังคมที่สมาชิกรวมตัวกันขึ้นด้วยความตั้งใจ รู้สึกถึงการรวมตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เช่น บริษัท สหภาพแรงงาน พรรคการเมือง เป็นต้น
2) ลักษณะของสังคมมนุษย์แบบสมาคม จะมีลักษณะดังนี้
(1) บรรดาปัจเจกชนที่เป็นสมาชิกของสมาคมจะมีความมุ่งหมายอันร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
(2) บรรดาสมาชิกทั้งหลายจะถูกจัดตั้งขึ้นเป็นองค์การ เพื่อดำเนินการให้บรรลุความมุ่งหมายที่ทุกคนมีอยู่ร่วมกัน
ข้อสังเกต รัฐเป็นสังคมมนุษย์รูปแบบหนึ่งที่รวมตัวแบบชุมชนหรือสมาคมขึ้นมาเป็นรัฐ นั้นจะต้องมีจำนวนมนุษย์ (ประชากร) ที่รวมตัวกันอยู่เป็นรัฐจะมีมากหรือน้อยไม่สำคัญเพียงแต่จะต้องมีกองกำลังที่ปกป้องรัฐนั้นได้ก็ถือว่าเป็นรัฐแล้ว
2.2 รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกพันอยู่กับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก (การมีดินแดน)
รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกพันอยู่กับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก (Territorial Society) ซึ่งมีความแตกต่างจากสังคมมนุษย์ประเภทสมาคมอื่น รัฐจึงต่างไปจากบริษัท ต่างจากพรรคการเมือง ต่างจากสหภาพแรงงาน เพราะว่าสังคมมนุษย์ประเภทอื่นๆไม่จำเป็นต้องมีดินแดนเป็นของตนเอง ซึ่งอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
1.รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกกับดินแดนส่วนใดของโลก
2.สังคมมนุษย์ที่ปราศจากดินแดนของตนเองก็ปราศจากสภาพที่เป็นรัฐอีกต่อไป เช่นพวกเร่ร่อนอันเป็นสังคมมนุษย์แต่ไม่เป็นรัฐ เป็นต้น
3. ดินแดนของรัฐจะกลายมาเป็นอาณาจักรของรัฐหรือราชอาณาจักร ที่มีการกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจนโดยสนธิสัญญาระหว่างรัฐซึ่งตั้งอยู่ข้างเคียงกัน เช่น ราชอาณาจักรของประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นต้น
4.ในการทำสนธิสัญญาในการทำปักปันรัฐต่างๆที่อยู่ติดกันหรือเคียงข้างกันจะใช้สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ เช่นภูเขา แม่น้ำ ทะเล เป็นต้น
5. สิ่งที่อยู่ในรัฐหรือเรียกว่าดินแดนมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1) พื้นดินและพื้นน้ำที่อยู่ในอาณาจักร หลังจากได้ปักปันเขตแดนแล้ว เช่นแม่น้ำ ภูเขา เป็นต้น
2) ทะเลอาณาเขต มีได้เฉพาะรัฐที่มีชายฝั่งเท่านั้น เช่น ประเทศไทยมีทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล
3) อากาศและบรรยากาศ เหนือส่วนที่เป็นพื้นดิน พื้นน้ำและทะเลอาณาเขตถือเป็นดินแดนอธิปไตยของรัฐด้วย
ข้อสังเกต การที่รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกพันกับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก จะเล็กใหญ่ไม่สำคัญ เพียงแต่จะต้องมีหลักแหล่งที่แน่นอนว่าตั้งอยู่ส่วนไหนของโลก
2.3 รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่แยกสมาชิกของสังคมเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจนคือมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลและผู้ถูกปกครอง
ผู้ปกครองจะเป็นคนจำนวนน้อยเสมอ ส่วนผู้ถูกปกครองจะเป็นคนจำนวนมาก ซึ่งเราเรียกสังคมมนุษย์ว่าที่มีการแยกออกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจนว่า “สังคมการเมือง” (Political Society) ลักษณะของสังคมการเมือง สมาชิกของสังคมจึงต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.สมาชิกของสังคมซึ่งเป็นผู้ปกครอง จะออกกฎเกณฑ์หรือกฎหมายจัดระเบียบการใช้อำนาจของผู้ปกครอง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปกครองแต่ละคนใช้อำนาจของตนกระทำการต่างๆที่กระทบกระเทือนต่อเสรีภาพหรือประโยชน์อันชอบธรรมของผู้อื่น และเพื่อมิให้ผู้ปกครองใช้อำนาจกระทำการต่างๆที่กระทบกระเทือนต่อประโยชน์ส่วนรวม
2.ผู้ปกครองใช้อำนาจบังคับให้ผู้ถูกปกครองต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตนเองออกมาใช้บังคับ ซึ่งหากผู้ถูกปกครองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ผู้ปกครองออกมาใช้บังคับก็จะมีการใช้อำนาจลงโทษโดยประการต่างๆ ไม่วะเป็นโทษทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครองและทางรัฐธรรมนูญ
การออกกฎเกณฑ์บังคับให้ผู้ถูกปกครองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือห้ามมิให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตลอดจนการการลงโทษผู้ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือข้อห้าม เรียกว่า “การปกครอง” ซึ่งการปกครองหรือกิจกรรมของผู้ปกครอง มี 2 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ออกกฎเกณฑ์ห้ามมิให้สมาชิกของสังคมกระทำการบางอย่างหรืองดเว้นการกระทำบางอย่างซึ่งเป็นการขีดวงการใช้สิทธิเสรีภาพของสมาชิกของสังคม
ประการที่สอง ลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ผู้ปกครองกำหนด
2.4 อำนาจที่ผู้ปกครองใช้ปกครองบังคับบัญชาเหนือผู้ถูกปกครอง ซึ่งถือเป็นอำนาจสูงสุด หรือเป็นอำนาจอธิปไตย
อำนาจที่ผู้ปกครองใช้ปกครองบังคับบัญชาเหนือผู้ถูกปกครอง ซึ่งถือเป็นอำนาจสูงสุด (Supreme Power) ของผู้ปกครองหรือเป็นอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) มี 2 ด้าน คือ
2.4.1 อำนาจอธิปไตยภายนอก (External Sovereignty)
อำนาจอธิปไตยภายนอกเป็นอำนาจอธิปไตยที่แสดงออกในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกันเองหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเมื่อเรากล่าวว่า “รัฐแต่ละรัฐมีอธิปไตย” หมายความว่ารัฐแต่ละรัฐมีฐานะเท่าเทียมกับรัฐอื่น และรัฐแต่ละรัฐไม่ยอมรับว่าอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของรัฐอื่น ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรัฐใหญ่รัฐเล็กหรือเป็นรัฐที่มีเศรษฐกิจหรือไม่ก็ตาม รัฐแต่ละรัฐมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ดังนั้นพันธะกรณีระหว่างรัฐแต่ละรัฐจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้งสองรัฐได้ตกลงกันด้วยใจสมัคร อันจะเกิดขึ้นได้แต่โดยสนธิสัญญาเท่านั้นไม่มีรัฐใดถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐอื่นโดยที่รัฐนั้นไม่ยินยอม กล่าวคือไม่มีรัฐใดสั่งให้รัฐอื่นกระทำการหรืองดเว้นกระทำการบางอย่างบางประการได้ พันธะกรณีระหว่างรัฐจึงเกิดจากสนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่รัฐแต่ละรัฐกระทำร่วมกัน ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยภายนอกในขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศ
อำนาจอธิปไตยภายนอก เป็นสิ่งเดียวกับความเป็นเอกราช (Independence) หรือความมีอิสระ (Autonomy) โดยแต่ละรัฐสามารถกำหนดความเป็นไปได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้คำบงการของรัฐอื่นใด
2.4.2 อำนาจอธิปไตยภายใน (Internal Sovereignty)
อำนาจอธิปไตยภายในเป็นอำนาจอธิปไตยที่แสดงออกในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับปัจเจกบุคคลทั้งหลายที่อาศัยอยู่ภายในอาณาจักรของรัฐ และระหว่างผู้ปกครองกับกลุ่มปัจเจกบุคคลทั้งหลายที่ก่อตัวขึ้นภายในอาณาจักรของรัฐ ซึ่งเมื่อกล่าวว่า “ผู้ปกครองรัฐทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยภายใน” หมายความว่าในความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่อาศัยอยู่ภายในอาณาจักรของรัฐก็ดีหรือระหว่างตนเองกับปัจเจกบุคคลต่างๆ ที่ก่อขึ้นมาภายในอาณาจักรของรัฐก็ดี เจตนารมณ์ของผู้ปกครองเป็นเจตนารมณ์ที่มีพลังหรือมีศักดิ์เหนือกว่าเจตนารมณ์ของปัจเจกบุคคลแต่ละคน และเหนือกว่ากลุ่มปัจเจกบุคคลแต่ละกลุ่มที่ก่อตัวขึ้นภายในอาณาจักรของรัฐ กล่าวคือ ภายในอาณาจักรของรัฐ อำนาจของผู้ปกครองเป็นอำนาจที่ไม่มีอำนาจอื่นใดมาทัดเทียมได้ ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้ปกครองด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยในขอบเขตของกฎหมายมหาชนภายใน
2.5 สรุปลักษณะร่วมหรือองค์ประกอบของคำว่า “รัฐ” ในแง่รัฐศาสตร์
องค์ประกอบหรือลักษณะร่วมของคำว่า “รัฐ” ในแง่รัฐศาสตร์ซึ่งส่วนหนึ่งของสังคมศาสตร์ ผู้เขียนได้กล่าวไว้ถึง 4 องค์ประกอบ คือ
ประการที่หนึ่ง เป็นสังคมมนุษย์รูปแบบชุมชนรวมตัวเป็นสมาคม
ประการที่สอง เป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกติดอยู่กับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก
ประการที่สาม เป็นสังคมการเมืองและมีการแยกผู้ปกครองกับสมาชิกของสังคมอย่างชัดเจน โดยมีผู้ปกครอง (รัฐบาล)
ประการที่สี่ เป็นสังคมการเมืองที่มีผู้ปกครองเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยกระทำในนามรัฐโดยผู้ปกครองออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์บังคับให้ผู้ถูกปกครองกระทำการบางอย่างหรืองดเว้นไม่กระทำการบางอย่าง ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนผู้ปกครองก็จะใช้อำนาจลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนจึงถือว่ามีการปกครอง
territorial person 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳解答
territorial person 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
territorial person 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
territorial person 在 10 Things That Separate A Jealous Partner From A Territorial ... 的相關結果
We're human beings -- the majority of us looking for partners. There isn't a person in the world who wouldn't have several hundreds of suitors ... ... <看更多>
territorial person 在 Territorial - Urban Dictionary 的相關結果
A person who is overly emotional, a tad bit psycho, and has to get laid before their ex gets laid. I like him but I dunno he seems kinda territorial. by skubb ... ... <看更多>
territorial person 在 7 Reasons Why Being Territorial In A Relationship Is ... 的相關結果
This is all done so that the possessive person feels more in control of the relationship, but can often lead to them pushing their partner away. ... <看更多>