Dark ซีซั่น 1 (สามารถดูได้ใน Netflix)
• จุดที่ทำให้ตัดสินใจดูต่อคือมันน่าจะใช้ทฤษฎีข้ามเวลาแบบ Fixed Timeline เหมือน 12 Monkeys และ Harry Potter ภาค 3 คือส่วนตัวเป็นคนไม่ว้าวกับ Back to the Future และซีรีส์แบบ Signal ที่ใช้ทฤษฎี Dynamic หรือ Multiverse เพราะการเขียนบทมันดิ้นได้เยอะจนไม่ว้าวเท่าการ Fixed ตายตัว
• รู้สึกว่าคนบิ๊วกันเรื่องตัวละครเยอะต้องจำนู่นนี่จนคนกำลังจะดูเกิดกลัวเกินจริงไปหน่อย ถามว่าเยอะไหมก็เยอะเพราะมันมีเรื่องไทม์ไลน์และตัวละครลับ(ที่จะมาบอกชื่อทีหลัง) แต่ถ้างงมากจริง ๆ เดี๋ยวนี้มี Family Tree ในเน็ตให้เซฟเยอะมากจนเข้าใจง่ายเลย
• ชอบความเป็นไซไฟของธีมเรื่อง ในทางหนึ่งมันก็พูดเรื่องวิทยาศาสตร์จ๋า ๆ แบบรูหนอนและการข้ามเวลาเมื่อบิดเกลียวมาบรรจบ แต่อีกทางมันก็ตั้งคำถามว่ามนุษย์มี Free Will จริงหรือไม่ ในเมื่อทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้ว(โดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เราทำนั้นคือถูกกำหนด) ซึ่งมันก็ดูท้าทายต่อความเชื่อเรื่องพระเจ้าดี
• บางทีเลยรู้สึกเหมือนกำลังดูการไขปริศนาทฤษฎีสมคบคิดแบบนิยายของแดน บราวน์ เพราะมันเน้นที่การสืบสวนไปเลย
• ซึ่งดีนะที่ซีรีส์วางตัวเป็น mystery sci-fi แบบไม่ค่อยจงใจแตะเส้นเรื่องดราม่าของตัวละครมากนัก คือตัวละครทั้งหมดก็มีเส้นเรื่อง มีความสัมพันธ์ระหว่างกันแต่ถูกเขียนมาเพื่อให้เห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของพล็อตไซไฟใหญ่ที่ต้องการจะเล่า
• ส่วนตัวแหม่ง ๆ บางฉากนิดหน่อย คือรายละเอียดเล็กน้อยแบบอยู่ดี ๆ มีเด็กแต่งชุดแฟนซีมาเคาะประตูบ้านถามหาชื่อตัวเองเป็นพ่อ มันประหลาดจนไม่น่าจะลืมได้ง่าย ๆ, หรือถ้ำตอนกลางคืนที่มืดสนิทแต่คนธรรมดาดันเดินเข้าไปหาของแบบไม่มีไฟได้โดยข้างในก็ดูสว่างกว่าตอนอีกคนส่องไฟเสียอีก, หมวกตกริมทางข้างป่าแต่คุณแม่ขับรถตาดี๊ดีมองเห็นได้อีกอะไรงี้
• มาดู Dark หลังเคว้ง เลยเพิ่งรู้ว่าฉากจบซีซั่นของทั้งสองเรื่องคือเหมือนกันเกินจนน่าเกลียดเลย คงเดาไม่ยากว่าเรื่องไหนสร้างทีหลัง ฮ่าๆ
• 9 ตอนแรกค่อนข้างกลาง ๆ อารมณ์แบบก็โอเคแต่ไม่ดึงดูดใจ พอมาถึง e.p.10 นี่ว้าวจนขยับเกรดขึ้นเลย
-------------------------------------
เกือบจะตัดสินใจไม่ดูต่อละ อย่างน้อยก็ไม่ดูซีซั่น 2 (ตอนนี้คือดู) คือมันก็โอเค ธีมเรื่องรูหนอนกับทฤษฎีข้ามเวลาแบบ fixed timeline ดูน่าสนใจดี แต่พอผ่านตาอะไรทำนองนี้มาแล้วเลยไม่มีอะไรชวนตื่นเต้นหรือว้าวสักเท่าไร จนกระทั่งถึง e.p.10 ก็รู้สึกว่าการข้ามเวลาไปมาเกี่ยวโยงกันซับซ้อนมากขึ้นจนน่าติดตามว่าซีรีส์จะสรรหาลูกเล่นหรือทฤษฎีอะไรมาอธิบาย รวมถึงอยากเห็นการแบ่งฝ่ายความเชื่อมาต่อสู้กันว่าสุดท้ายมนุษย์เรามี free will (เจตจำนงเสรี หรือการตัดสินใจโดยอิสระ) จริง ๆ หรือไม่ ดูแล้วนึกถึงพวก The Adjustment Bureau ซึ่งจะลงเอยทางไหนก็โอเคเพราะซีรีส์วางบทไว้ค่อนข้างเปิดกว้างให้มันดิ้นไปได้ทั้ง 2 ทาง
.
ถ้าเอาแบบย่อ ๆ ซีรีส์มันเริ่มต้นจากมีเด็กหายตัวไป 2 คน ตำรวจกับพ่อเด็กเลยเริ่มต้นสืบสวนโดยพยายามขอหมายค้นโรงงานนิวเคลียร์ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ จุดหายตัวไป ก่อนที่ซีรีส์จะพาไปพบความลับของถ้ำ ซึ่งข้อดีของ Dark คือมันเล่าแบบใจเย็นเป็นมิตรกับคนดู ด้วย timeline อย่างต่ำ 3 ยุคสมัย (ห่างกัน 33 ปี) เกี่ยวพันกับอย่างน้อย 4 ตระกูลที่อยู่ในทุกยุคสมัย คนนี้เป็นพ่อคนนี้ คนนั้นเป็นปู่คนนี้ ไอ้นี่เป็นลูกคนนู้น อะไรประมาณนั้น การที่ซีรีส์ค่อย ๆ หยอดข้อมูลทีละนิดจึงอาจจะเป็นความใจเย็นที่ไม่น่าดึงดูด แต่ถ้ามองตามจริงแล้วการเล่าแบบค่อยเป็นค่อยไปเนี่ยแหละที่ทำให้เราปะติดปะต่อตัวละครได้แบบไม่หลุดความสนใจไปเสียก่อน และถ้าลืมชื่อลืมหน้าคนไหนก็แวะเปิด family tree ดูระหว่างทางก็ได้จะได้สนุกกับซีรีส์
.
พูดถึงทฤษฎีข้ามเวลาแบบ Fixed Timeline คือจุดสำคัญที่ทำให้เราไม่เท Dark กลางทาง ส่วนตัวชอบทฤษฎีนี้ที่สุดเวลาหยิบมาทำหนังหรือซีรีส์ เพราะมันต้องมีชั้นเชิงในการเขียนบทเล่าเรื่องที่แม่นยำและเป๊ะมาก ต่างกับพวกย้อนเวลาสร้างจักรวาลคู่ขนานที่ดิ้นไปพร้อมข้ออ้างไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับ Fixed Timeline คือการที่ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย แม้ตัวเราย้อนเวลากลับไปก็เป็นเพียงแค่การย้อนไปเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของอดีต เช่นเดียวกับอนาคตก็เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย ซึ่งหนังที่ใช้ทฤษฎีนี้มาเล่าได้สนุกก็เช่น Predestination, 12 Monkeys, Harry Potter and the Prisoner of Azkaban, The Terminator เฉพาะภาคแรกก่อนทำเงินจนมีภาคต่อแล้วเปลี่ยนทฤษฎี, The Time Traveler's Wife, Dirk Gently's Holistic Detective Agency ซีซั่น 1 ก็น่าจะใช่ แล้วก็จับ Dark ไปอยู่กลุ่มหนัง/ซีรีส์โปรดของเราได้เลย
.
รอดูซีซั่น 2 ต่อ เตรียมพร้อมก่อนซีซั่น 3 จะมาวันเสาร์นี้
Creators: Baran bo Odar, Jantje Friese
10 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 50 นาที)
A
#หนังโปรดxซีรีส์Netflix
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...