Canon EOS R3 นิยามใหม่แห่งความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
เซนเซอร์ Stacked CMOS โดยใช้การสะท้อนแสงกลับ มาพร้อมชิปประมวลผลภาพ DIGIC X
เซนเซอร์ Stacked CMOS โดยใช้การสะท้อนแสงกลับ ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยมีความละเอียด 24.1 ล้านพิกเซล ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับ Canon EOS-1DX Mark III และ Canon EOS R6
นอกจากนี้ ยังมีประสิทธิภาพเหนือกว่า Canon EOS 5D Mark IV ที่มีความละเอียด 30.4 ล้านพิกเซล สำหรับกล้อง Canon EOS R3 มาพร้อมกับชิปประมวลผลภาพ DIGIC X ที่สามารถประมวลผลภาพด้วยความเร็วสูง ซึ่งทำให้กล้องรุ่นนี้อัดแน่นด้วยฟีเจอร์อันล้ำสมัยและเป็นกล้องมิเรอร์เลสที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตระกูล Canon EOS โดยมีจุดเด่นด้านความรวดเร็วและความแม่นยำในการจับภาพ จึงทำให้บันทึกภาพและวิดีโอออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ประสิทธิภาพในการถ่ายภาพความเร็วสูง
อิเล็กทรอนิกส์ชัตเตอร์และแมคคานิกชัตเตอร์ของ Canon EOS R3 ถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที และ 12 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ พร้อมการติดตามออโต้โฟกัสวัตถุและวัดแสงอัตโนมัติ (AF/AE Tracking) และยังได้รับการออกแบบให้มีความเร็วชัตเตอร์สูงถึง 1/64,000 วินาที เมื่อใช้โหมดอิเล็กทรอนิกส์ชัตเตอร์ ทำให้จับภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง หรือใช้ร่วมกับเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างจะสามารถทำงานในที่สภาพแสดงน้อยได้ดี
นอกจากนี้ Canon EOS R3 ยังมาพร้อมกับช่องใส่การ์ดคู่สำหรับการ์ด CFExpress (Type-B) ที่อ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงและเชื่อถือได้ และการ์ด SD (UHS-II) ซึ่งช่วยให้บันทึกข้อมูลภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยทำงานควบคู่กับความสามารถในการประมวลผลด้วยความเร็วสูงอย่าไม่น่าเชื่อของชิปประมวลผลภาพ DIGIC X ทำให้เข้าถึงเมนูต่างๆ และเปลี่ยนการตั้งค่าได้ในขณะที่กำลังบันทึกข้อมูลลงในบนการ์ด
คุณภาพที่เหนือกว่าของภาพถ่ายและวิดีโอ
สำหรับการถ่ายภาพนิ่ง กล้อง Canon EOS R3 มีค่าความไวแสงเริ่มต้นที่ 100 ถึง 102,400 (ขยายได้ถึง 204,800) และสำหรับการถ่ายวิดีโอมีค่าความไวแสงที่ 100 ถึง 25,600 (ขยายได้ถึง 102,400) จากประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงของเซนเซอร์ Stacked CMOS ทำให้ลดการผิดเพี้ยนและความบิดเบี้ยวจากการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็ว (Rolling Shutter Distortion) ช่วยในการถ่ายภาพกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็วหรือการแพนกล้องอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังบันทึกภาพในรูปแบบไฟล์ HEIF ที่มีความละเอียดของสีที่ 10-บิต ซึ่งสามารถแปลงไฟล์ HEIF ให้เป็นภาพ JPEG ที่มีลักษณะเหมือน HDR PQ ได้ภายในตัวกล้อง ทำให้เห็นรายละเอียดในส่วนไฮไลต์และเงาได้มากขึ้น และด้วยโหมด HDR นี้ผู้ใช้จะได้ไฟล์ HEIF ที่มีไดนามิกเรนจ์กว้างขึ้นจากการรวมไฟล์ HEIF 3 ภาพ ภายในเวลา 0.02 วินาที ซึ่งทำให้การถ่ายภาพ HDR ด้วยมือเปล่าเป็นเรื่องง่าย
นอกจากนี้ กล้อง Canon EOS R3 ยังมีฟีเจอร์เหมือนกับ EOS R5 และ R6 ในส่วนของระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว (In-Body IS) สูงสุด 5.5 สต็อป และเมื่อใช้งานคู่กับเลนส์ RF จะได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 8 สต็อป ทำให้สามารถถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องได้ง่ายดายขึ้น
พร้อมด้วยฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการในการผลิตภาพยนตร์ที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่ให้มุมมองแบบฟูลเฟรมขนาด 6K 60p RAW หรือ 4K 120p 10-บิต สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการวิดีโอคุณภาพที่ดีที่สุดสามารถบันทึกไฟล์ที่ขนาด 4K 60p (จาก 6K oversampling) เลือกบันทึกไฟล์ได้ทั้งแบบ Canon Log 3 และ HDR PQ ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับกระบวนการหลังการผลิตได้หลายรูปแบบ
โฟกัสอัจฉริยะและแม่นยำ
Canon EOS R3 นับเป็นกล้องดิจิทัลตัวแรกของแคนนอนที่มีฟังก์ชันการควบคุมออโต้โฟกัสด้วยดวงตา (Eye Control AF)
หลังจากกล้อง Canon EOS 7s เปิดตัวในปี 2004 ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จะทำการเลือกกรอบออโต้โฟกัสโดยการตรวจจับการเคลื่อนไหวของม่านตาของผู้ใช้ขณะถ่ายภาพนิ่ง มาพร้อม LED และเซนเซอร์หลายตัวภายในช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) ที่พัฒนาขึ้นใหม่เพื่อทำให้สามารถโฟกัสภาพได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการเปลี่ยนโฟกัสไปยังวัตถุใหม่โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มและใช้ปุ่มควบคุม โดยเฉพาะการถ่ายภาพกีฬาแข่งรถและวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว
สำหรับระบบออโต้โฟกัสติดตามดวงตา (Eye Detection AF) ในกล้องรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก โดยกล้องสามารถโฟกัสที่ดวงตาได้แม้ใบหน้าจะถูกบดบังบางส่วน นอกจากนี้ในระบบออโต้โฟกัสติดตามศีรษะ (Head Detection AF) ยังมีการพัฒนาให้ดีขึ้นเช่นกัน เมื่อนักกีฬาสวมหมวกนิรภัยหรือแว่นตาก็ยังคงสามารถโฟกัสได้อย่างมั่นใจในการถ่ายภาพกีฬาความเร็วสูง
อีกทั้งยังมีการเพิ่มระบบออโต้โฟกัสติดตามยานพาหนะ (Vehicle Priority AF) แบบใหม่ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับช่างภาพมอเตอร์สปอร์ต โดยระบบโฟกัสนี้สามารถตรวจจับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้อย่างแม่นยำ ตลอดจนสามารถตรวจจับหมวกกันน็อคของคนขับได้เมื่อเปิดการใช้งานการติดตามเฉพาะจุด
อีกหนึ่งคุณสมบัติอันทรงพลังที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเซนเซอร์ใหม่และชิปประมวลผลภาพ DIGIC X คือการติดตามที่แม่นยำมากขึ้น โดยสามารถคำนวณและติดตามออโต้โฟกัสได้สูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที ซึ่งถือเป็นความสามารถที่มากกว่า Canon EOS-1DX Mark III และ Canon EOS R5 ถึงสามเท่า ทำให้ง่ายต่อการติดตามวัตถุที่เลี้ยวและเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว เช่น นักสกีหรือนักกีฬามอเตอร์สปอร์ต
และด้วยขีดจำกัดของออโต้โฟกัสในการถ่ายภาพที่แสงน้อยได้ถึง EV-7.5 ทำให้สามารถโฟกัสวัตถุในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทจนสายตามนุษย์ยากที่จะมองเห็น
การเชื่อมต่ออันไร้ที่ติสำหรับ Swift Transfer
ในบรรดากล้องแคนนอนทุกรุ่น Canon EOS R3 นับว่ามีคุณสมบัติการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ซึ่งมีทั้ง Bluetooth Wi-Fi และ GPS เป็นโหมดมาตรฐานในตัวกล้อง นอกจากนี้ ยังมี Wi-Fi สองคลื่นความถี่ที่รองรับ FTP และ FTPS พร้อมด้วย WPA3 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสำหรับช่างภาพสื่อมวลชน การเชื่อมต่อผ่านสาย LAN ช่วยให้ถ่ายโอนไฟล์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ FTP FTPS หรือ SFTP ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งความสามารถทั้งหมดนี้ทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม พร้อมกันนี้ แคนนอนยังมีแอปพลิเคชันมือถือ Mobile File Transfer ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ 5G เพื่อการถ่ายโอนรูปภาพจากกล้องไปยังสมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็วสามารถใช้งานผ่านสาย USB และถ่ายโอนรูปภาพจากจุดที่ถ่ายภาพไปยังเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลได้รวดเร็ว
ความทนทานและการใช้งาน
Canon EOS R3 ตอบสนองการใช้งานระดับมืออาชีพด้วยการซีลป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ ตลอดจนมีชัตเตอร์ที่ทนทานเช่นเดียวกับ Canon EOS-1DX Mark III โดยกล้องมาพร้อมหน้าจอแอลซีดีระบบสัมผัสแบบปรับหมุนได้ขนาด 3.2 นิ้ว (3:2) เป็นครั้งแรก พร้อมความละเอียดประมาณ 4.15 ล้านจุด ซึ่งสูงที่สุดที่กล้องแคนนอนเคยมีมา
นอกจากนี้แคนนอนยังได้พัฒนาช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์แบบ OLED ใหม่ที่มีความละเอียด 5.76 ล้านจุด ด้วยอัตรารีเฟรชเรตที่สูงถึง 120 เฟรมต่อวินาที และไม่เพียงทำให้การแพนกล้องสบายตาเท่านั้น แต่ช่วยลดเวลาหน่วงระหว่างการถ่ายภาพต่อเนื่องอีกด้วย อีกทั้งยังมีปุ่มควบคุมอัจฉริยะ (Smart Controller) แบบเดียวกับที่เปิดตัวครั้งแรกในกล้อง Canon EOS-1DX Mark III ทำให้ผู้ใช้สามารถเลื่อนตำแหน่งโฟกัสไปรอบๆ ได้อย่างรวดเร็วเป็นสองเท่าของปุ่ม AF-ON
พร้อมกันนี้ Canon EOS R3 สามารถใช้งานได้กับชุดแบตเตอรี่ความจุสูง รุ่น LP-E19 ซึ่งช่างภาพสามารถถ่ายภาพได้ทั้งวันด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียวได้อย่างมั่นใจ และสามารถชาร์จแบตเตอรี่จากแบตเตอรี่สำรองที่รองรับ Power Delivery (PD) ผ่านสาย USB-C ที่เข้ากันได้
ในส่วนของบอดี้ที่ดูสง่างามและยิ่งใหญ่ แต่กล้องรุ่นนี้มีขนาดที่เล็กกว่ากล้อง Canon EOS-1DX Mark III ถึง 15% และน้ำหนักเบากว่าถึง 30% (ตามมาตรฐาน CIPA) ด้วยน้ำหนัก 822 กรัม (เฉพาะตัวกล้อง) ซึ่ง Canon EOS R3 มีน้ำหนักที่เบากว่า Canon EOS 5DS เช่นกัน
อุปกรณ์เสริมมัลติฟังก์ชันรูปแบบใหม่
Canon EOS R3 เพิ่มฟังก์ชันการทำงานนอกเหนือจากการถ่ายภาพโดยใช้แฟลช ด้วยชุดอุปกรณ์เสริมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกัน ประกอบด้วย
· ไมโครโฟนสเตอริโอแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ รุ่น DM-E1D ที่มาพร้อมคุณสมบัติแบบอนาล็อกเหมือนรุ่น DM-E1 นอกจากจะสามารถบันทึกเสียงดิจิทัลโดยตรงได้แล้ว ยังมีการออกแบบให้ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่และสายเคเบิลอีกด้วย โดยการส่งข้อมูลเสียงและจ่ายไฟผ่านช่องแฟลชมัลติฟังก์ชันจากกล้อง และมีปุ่มเมนูบนไมโครโฟนเพื่อช่วยให้เข้าถึงโหมดตั้งค่าการใช้งานภายในเมนูกล้องได้สะดวกรวดเร็ว
· Speedlite Transmitter ST-E10 รุ่นใหม่ที่ทำงานคล้ายกับรุ่น ST-E3-RT ซึ่งออกแบบให้ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่และมีปุ่มที่เข้าถึงเมนูได้รวดเร็วเหมือนกับ DM-E1D มีความโดดเด่นอยู่ที่การออกแบบอันกะทัดรัดและมีน้ำหนักลดลง 56% เมื่อเทียบกับรุ่น ST-E3-RT
· อะแดปเตอร์ช่องแฟลชมัลติฟังก์ชัน รุ่น AD-E1 ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้กล้อง Canon EOS R3 สามารถใช้กับแฟลช Speedlite รุ่นที่มีซีลป้องกันฝุ่นและละอองหยดน้ำได้ ตัวอย่างเช่น แฟลช Speedlite รุ่น EL-1 และตระกูล 600EX อย่างไรก็ตาม แฟลช Speedlite ที่ไม่มีการออกแบบมาเพื่อป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ อาทิ แฟลชตระกุล 430EX และ 270EX สามารถติดตั้งกับ Canon EOS R3 ได้โดยตรง
· อแดปเตอร์ Smartphone Link AD-P1 เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับติดตั้งสมาร์ทโฟนเข้ากับช่องมัลติฟังก์ชันของ Canon EOS R3 โดยสาย USB จะช่วยให้ถ่ายโอนภาพและวิดีโอจากกล้องไปยังสมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็ว ด้วยแอปพลิเคชันมือถือ Mobile File Transfer ทำให้ช่างภาพสามารถถ่ายโอนภาพความละเอียดสูงเหล่านี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ FTP ที่อยู่ระยะไกลผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ 5G และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของช่างภาพในภาคสนามได้เป็นอย่างมาก
ขยายทุกขอบเขตการสร้างสรรค์ด้วยเลนส์ RF ใหม่
เล็กกว่า เบากว่า และดียิ่งขึ้น
ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่และระยะท้ายเลนส์สั้นของเมาท์ RF ในระบบ EOS R Systemทำให้เลนส์ทั้งสองรุ่นนี้มีขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงให้ประสิทธิภาพด้านออพติคได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้ได้คุณภาพของภาพที่คมยันขอบทั่วทั้งภาพ
สำหรับ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM เป็นเลนส์เทเลโฟโต้ที่มีช่วงซูมสูงสุด 400 มม. มาพร้อมความกะทัดรัดของกระบอกเลนส์ที่มีความยาวน้อยกว่า 170 มม. ทำให้ผู้ใช้สามารถพกพาได้สะดวก ด้วยน้ำหนักประมาณ 635 กรัม ถือเป็นเลนส์เทเลโฟโต้ที่มีราคาเป็นมิตรอีกหนึ่งตัวเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งเบากว่า RF24-105mm f/4L IS USM อีกทั้งยังมีขนาดใกล้เคียงกับ EF70-300mm f/4.5-5.6 IS II USM แต่มีทางยาวโฟกัสช่วงเทเลโฟโต้มากกว่าถึง 100 มม. มาพร้อมมอเตอร์ Nano USM ทำให้ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM สามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นตลอดช่วงการซูม ไม่ว่าจะเป็นการภาพนิ่งหรือวิดีโอ ซึ่งถือเป็นเลนส์เริ่มต้นอันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่สนใจในการถ่ายภาพนกและสัตว์ป่า
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ Extender RF1.4x หรือ RF 2x เพื่อเพิ่มทางยาวโฟกัสเป็น 1.4 หรือ 2 เท่า เมื่อใช้ร่วมกับกล้องมิเรอร์เลสน้ำหนักเบาของแคนนอน ช่างภาพสามารถเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพด้วยช่วงเทเลโฟโต้สูงสุด 800 มม. และสามารถเดินป่าได้ระยะทางไกลหรือถือถ่ายด้วยมือเปล่าได้อย่างสะดวกสบาย
สำหรับเลนส์มุมกว้างพิเศษที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.8 โดยปกติจะมีราคาสูง แต่เลนส์ RF16mm f/2.8 STM นับเป็นเลนส์ที่มีราคาเข้าถึงได้ โดยอีกคุณสมบัติที่โดดเด่นของ RF16mm f/2.8 STM อยู่ที่การออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ด้วยความสูงเพียง 40.2 มม. และน้ำหนักประมาณ 165 กรัม จึงทำให้ไม่ค่อยกินพื้นที่ในกระเป๋ากล้อง ซึ่งเลนส์นี้จะมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับเลนส์ RF50mm f1.8 STM
เปิดมุมมองแห่งการสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่
ด้วยระยะโฟกัสใกล้สุดเพียง 1.05 ม. (ที่ 400 มม.) มีอัตราขยายสูงสุด 0.41 เท่า ทำให้ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM เหมาะสำหรับการถ่ายภาพดอกไม้และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ โดยดึงเอาเอฟเฟกต์การดึงระยะเลนส์และโบเก้ที่ดีที่สุดของเลนส์เทเลโฟโต้ออกมา โดยเลนส์นี้มาพร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหว 5.5 สต็อป และระบบป้องกันภาพสั่นไหวจะเพิ่มขึ้นถึง 6 สต็อป เมื่อใช้งานร่วมกับกล้องที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว (In-Body IS) ซึ่งช่วยลดการสั่นของกล้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้ภาพที่คมชัดแม้ถ่ายภาพในระยะเทเลโฟโต้ที่ 400 มม.
สำหรับเลนส์ RF16mm f/2.8 STM ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพอันทรงพลังโดยการปรับมุมมองเพื่อถ่ายภาพวัตถุที่อยู่ใกล้ให้ดูใหญ่ขึ้นหรือให้เล็กลงเหมือนเทียบกับวัตถุที่อยู่ห่างไกลได้เช่นกัน จากเอฟเฟกต์การบิดเบือนของเลนส์มุมกว้างพิเศษเมื่อเราเข้าใกล้วัตถุมากขึ้น (เช่น สัตว์และเด็ก) จะทำให้ภาพที่ได้ดูแปลกตา โดยเลนส์มุมกว้างพิเศษ RF16mm f/2.8 STM ยังครอบคลุมมุมมองภาพแนวทแยง 110 องศา ทำให้สะดวกต่อการถ่ายเซลฟี่ที่ต้องการเก็บภาพคนจำนวนมาก การถ่ายวิดีโอสำหรับใช้ในโซเชียลมีเดีย และถ่ายภาพในที่แคบ นอกจากนี้ความกว้างของรูรับแสงที่ f2.8 ไม่เพียงแค่สร้างโบเก้ที่สวยงาม แต่ยังเป็นเลนส์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการถ่ายภาพดาราศาสตร์ได้เช่นกัน
สนใจดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://th.canon/th/consumer และบนเฟสบุ๊คทางการของแคนนอน https://www.facebook.com/Canon.thailand/ หรือติดต่อ Call Center โทร 0-2344-9988
#Canonthailand #CanonEOSR3 #CanonEOSRThailand
同時也有60部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,เปิดตัวในไทย ราคา รีวิว All-New Subaru Outback 2021 ซูบารุ เอาท์แบ็ค มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ล่าสุด Subaru EyeSight 4.0 ในงาน Bangkok Internati...
「vehicle control system」的推薦目錄:
- 關於vehicle control system 在 Facebook 的最佳解答
- 關於vehicle control system 在 八鄉朱凱廸 Chu Hoi Dick Facebook 的最讚貼文
- 關於vehicle control system 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於vehicle control system 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
- 關於vehicle control system 在 CarDebuts Youtube 的最佳貼文
- 關於vehicle control system 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
vehicle control system 在 八鄉朱凱廸 Chu Hoi Dick Facebook 的最讚貼文
【程翔:新香港人將任特首 CHING Cheong: A "new Hongkonger" will be the next Chief Executive】Scroll down for English
🍏 Apple Podcast: https://apple.co/3rMIyRB
🍎 Google Podcast: https://bit.ly/3huFKE8
🍊 Spotity: https://spoti.fi/385myJY
請點擊上述連結收聽Podcast節目 "What's up in Hong Kong" 第4集,Matthew Chapple (Lamma Matthew 南丫華哥) 和我與資深記者程翔談紫荊黨,重點包括:
1)紫荊黨的成立配合了北京以「新香港精英」取代原有建制派和AO的治港新策略
2)建制派對紫荊黨能力的質疑是出於無知,因為難以相信會被中共用完即棄
3)新香港人站穩陣腳後,中共對香港的控制會稍為放鬆,以保一國兩制的門面
4)林鄭雖被保皇KOL圍攻,但不至於不能做滿任期,因為這牽涉當年親自提拔林鄭的習近平的地位
5)林鄭不能連任,即代表「新香港人」特首在2022年就要登場:前港交所行政總裁李小加確是可能人選
綜合程翔和各方意見,我自己有以下推斷:
1)中共嘗試在香港最大程度複製中國的管治架構,首先是將議會改造為不會阻撓行政當局的「香港市人大」
2)通過政治審查和建立龐大國安系統,持續壓制反對派,原有建制派人物可留任「香港市人大」做橡皮圖章
3)短期內真正要做大手術的是行政系統,2022年的特首、問責官員和主要法定機構主席改由「新香港人」出任,推行「高質而有效的精英管治」(相對於土共培養的「廢人」和仲要跟程序的AO)
4)基層組織是否繼續由土共自由競爭,還是由紫荊黨統一收編重組,等下一階段才聽候發落
不管未來如何發展,有一點相當清晰:中共及其保皇勢力已不放香港人在眼內,正集中力量作內部鬥爭,希望在變動時勢搶佔位置。
Is the “Bauhinia Party” a CCP vehicle to establish the “One Party” system in Hong Kong? In early December a group of Hong Kong based, Pro CCP Mainland businessmen announced their intention to launch the “Bauhinia Party”. With a membership goal of 250,000, commentators speculate that the purpose of this new party may be to establish the “One Party” system in Hong Kong by absorbing the current Pro Beijing political groups and surfacing the underground CCP network here. In Episode #4 Eddie Chu and Matthew Chapple discuss this with veteran journalist CHING Cheong(程翔).
The highlights Mr CHING's thoughts include:
1) The establishment of the new Bauhinia Party is part of Beijing's new Hong Kong strategy to replace the original Pro Establishment camp and senior government officials with “new Hong Kong elites” which means Party loyal, first generation, Mainland born Hong Kongers.
2) The establishment’s questioning of the Bauhinia Party’s ability is out of ignorance, because it is difficult for them to accept they will be discarded.
3) After the "new Hongkongers" gain a foothold, the CCP's control over Hong Kong will be slightly relaxed to preserve the appearance of "one country, two systems".
4) Although Carrie LAM is currently being attacked by the Pro Beijing side it is likely she will still serve out her full term because she was personally selected and supported for the position by XI Jing-ping.
5) Carrie LAM will likely not be re-elected, which means that the next Chief Executive will probably come from the ranks of "new Hong Kongers" (e.g. a Mainland born or first generation patriot) in 2022: Charles LI, the former Chief Executive of the Hong Kong Stock Exchange, is indeed a possible candidate.
Based on the opinions of CHING Cheong and others, my thinking is as follows:
1) The CCP is trying to replicate China's governance structure in Hong Kong to the greatest extent possible. The first is to transform our Legco into a "Hong Kong Municipal People's Congress" that will not obstruct the Administration.
2) Through political screening and the establishment of the National Security System, the opposition will continue to be suppressed, and the original establishment figures can remain in the "Hong Kong People's Congress" as a rubber stamp or "loyal opposition".
3) In the short term, the major reform will be on the administrative system. In 2022, the Chief Executive, key officials, and Chairpersons of major statutory bodies will be replaced by the "new Hong Kongers" to implement "high-quality and effective elite governance" (as opposed to the current "useless " local elites).
4) Will HK's grassroots Pro CCP organizations continue to compete freely in Hong Kong or will the Bauhinia Party consolidate and reorganize it as a united group? We will need to wait and see!
Listen to "What's up in Hong Kong?" Episode #4 with the following links:
🍏 Apple Podcast: https://apple.co/3rMIyRB
🍎 Google Podcast: https://bit.ly/3huFKE8
🍊 Spotity: https://spoti.fi/385myJY
支持朱凱廸團隊工作 Support our work
⚡www.patreon.com/chuhoidick
🔥WHATSAPP 9776 0474
💧info@chuhoidick.hk
vehicle control system 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ครบทุกความคุ้มค่าด้วย NEW FORTUNER LEGENDER
ลงทุนแมน x TOYOTA
ถ้าเราจะลงทุนซื้อของที่มีมูลค่าสูง แน่นอนว่า เราก็คงต้องมองถึงความคุ้มค่าต่อเงินที่เราจะต้องจ่าย แล้วถ้าของที่เรากำลังจะลงทุนนั้นเป็น “รถยนต์” ล่ะเราควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?
แน่นอนว่าหลายคนมักมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบรอบด้านและตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทั้งความสะดวกสบาย พื้นที่กว้างขวาง แถมยังต้องทนทาน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เพราะคนส่วนใหญ่คงไม่ได้อยากซื้อรถหลายคันเพื่อเอาไปใช้งานแต่ละอย่าง และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเห็นรถประเภท PPV หรือ Pick Up Passenger Vehicle บนท้องถนนกันมากขึ้น เพราะความเป็น “รถอเนกประสงค์” ที่ตอบโจทย์การใช้งานหลายประเภท ซึ่งสามารถรองรับคนที่มีครอบครัวใหญ่ได้ โดยไม่ต้องมีรถหลายคัน หรือจะปรับเปลี่ยนเบาะด้านหลังให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับขนของก็ได้
แต่ถ้าคุณยังลังเลที่จะลงทุนกับรถ PPV สักคัน เพราะอยากได้ความคุ้มค่าตามที่คาดหวัง ลงทุนแมนมีปัจจัยช่วยในการตัดสินใจอย่างน้อย 6 ข้อ ดังนี้
1. ดีไซน์สวย เพราะรถก็เปรียบเสมือนตัวแทนที่สะท้อนตัวตนของเจ้าของ ดีไซน์จึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลย ซึ่งต้องมั่นใจว่าเรา “ถูกใจ” จริงๆ เพราะต้องใช้ไปอีกหลายปี
2. สมรรถนะดี ทั้งขับขี่ในเมือง หรือเอาออกไปลุยทุกสภาพถนนเมื่อต้องขับออกนอกเมืองก็ได้ และต้องไม่ลืมคิดถึงเรื่องประหยัดน้ำมัน
3. ฟีเจอร์ครบ โดยเฉพาะด้านระบบความปลอดภัย เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
4. เชื่อมต่อคล่องตัว ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น
5. ศูนย์บริการต้องมีคุณภาพ อะไหล่พร้อมบริการ จะได้ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดใจทีหลัง
6. มีความคุ้มค่า ซึ่งหากรถที่คุณเลือกตอบโจทย์ 5 ข้อตามที่กล่าวมาแล้ว คงมั่นใจได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าได้ความคุ้มค่ามาครองแล้วไม่มากก็น้อย
ซึ่งลงทุนแมนเอง มีโอกาสได้ทดลองขับรถ PPV ที่เป็น Top-of-mind ของตลาด อย่าง TOYOTA FORTUNER LEGENDER รุ่น Minor Change ของปีนี้ และการปรับ Minor Change ของ FORTUNER ในครั้งนี้ ถึงจะเป็น Minor Change แต่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก
เริ่มจากการออกแบบตัวรถภายนอกที่เน้นความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ดูแข็งแรง และให้ฟีลแบบรถยุโรปมีระดับเสริมลุคให้คนขับดูภูมิฐานได้ดีเลยทีเดียว ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Full LED และไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่เมื่อเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว เส้นสายของไฟนั้นจะวิ่งเป็นเส้นให้ความสวยงามโฉบเฉี่ยวไม่น้อย, หลังคาพ่นสีดำ Exclusive Black Top รวมไปถึงกระจังหน้า และกันชนหน้าที่ออกแบบมาใหม่ โดยรวมแล้วรู้สึกว่ามีการเสริมดีไซน์ให้ทันสมัยลงตัวขึ้นมาก
ส่วนภายในตัวรถมีห้องโดยสารที่กว้างขวาง และวัสดุที่ใช้ทำให้รู้สึกถึงความ พรีเมียม นั่งสบาย เบาะด้านหลังสุดปรับเอนได้ แต่จุดที่ชอบที่สุดคือบริเวณคอนโซลกลางและขอบประตูมีไฟ Ambient Illumination ให้ความรู้สึกดูมีระดับแตกต่างจากรถทั่วไป
และ Minor Change ในครั้งนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งพอได้ลองขับแล้ว รู้สึกเลยว่าความแรงเครื่องดีขึ้น และเสียงเครื่องยนต์ภายในห้องโดยสาร มีความเงียบมากกว่าเดิมอีกด้วย ถือว่าเป็นรถที่มอบความสบายแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างแท้จริง
เทคโนโลยีและฟีเจอร์ต่างๆ ที่มาพร้อมกับรถรุ่นนี้ก็เรียกว่าจัดมาให้แบบเต็มคันรถ ทั้ง Wireless Charger, Park Sensor, Panoramic View Monitor กล้องมองรอบคันแบบ 360 องศา สำหรับมองจุดอับสายตา และสัญญาณเตือนในการกะระยะการจอด, การรองรับ Apple CarPlay และอีกหนึ่งฟีเจอร์สำหรับใครที่หิ้วของขึ้นลงรถเยอะๆ เป็นประจำ น่าจะชอบ คือ ระบบ Kick Activated Back Door ที่ช่วยให้เรา เปิด - ปิด ท้ายรถได้โดยไม่ต้องเสียเวลาหาที่วางของก่อน สำหรับฟีเจอร์ที่ว่ามานี้ถือว่าตอบโจทย์ และช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายขึ้นเป็นอย่างมาก
ด้านความปลอดภัย ก็มาครบไม่แพ้รุ่นอื่นๆ ในตลาด ไม่ว่าจะเป็น
- Lane Departure Alert ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ
- Pre-collision System ระบบเตือนอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป ซึ่งจากการวิจัยของสถาบัน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) หน่วยงานที่ทำการดูแลและวิจัยเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน พบว่ารถยนต์ที่มีระบบการแจ้งเตือนเมื่อรถเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป และระบบการแจ้งเตือนเมื่อขับรถออกนอกเลน สามารถช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้จริง
- Dynamic Radar Cruise Control ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ โดยกำหนดระบบความเร็วระยะห่างจากรถคันหน้า
และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยในรถยนต์อเนกประสงค์ FORTUNER ที่จะสามารถลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนให้แก่ผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทางได้
สำหรับระบบ T-Connect ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งจะมาช่วยแก้ Pain Point ของเหล่าคนขับรถได้ในหลายจุด ยกระดับให้รถคันนี้เป็นยานยนต์ที่ชาญฉลาด เช่น การเช็กตำแหน่งรถ ประสานงานยามฉุกเฉิน หรือ Telematics Care เป็นแพลตฟอร์มที่จะคอยช่วยดูแลข้อมูลของรถยนต์ และแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเอารถเข้าศูนย์ เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
ส่วนเรื่องศูนย์บริการ ก็คงไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ TOYOTA เขาขึ้นชื่อเรื่องศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานและมีศูนย์บริการทั่วประเทศ ทำให้เราสามารถนำรถไปตรวจเช็กระยะที่ศูนย์บริการใกล้ๆ บ้านได้ ค่าตรวจเช็กสภาพก็ไม่แพง มีอะไหล่พร้อมให้บริการ ไม่ต้องรอนาน
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนนึกถึงเมื่อซื้อรถ ก็คือเรื่องราคาขายต่อ เพราะถ้าในอนาคตต้องการเปลี่ยนรถใหม่ หากสามารถขายต่อได้ในราคาสูงมากเท่าไร ก็ถือว่าซื้อมาใช้งานได้คุ้มค่ามากเท่านั้น ซึ่งเมื่อลองเข้าไปเช็กราคาการขายต่อในตลาดแล้ว รถ FORTUNER ถือได้ว่าเป็นรุ่นรถ PPV ที่มีราคาขายต่อดีที่สุดในตลาดก็ว่าได้ เพราะถูกหักค่าเสื่อมสภาพของรถน้อย และมีแหล่งรับเทิร์นรถที่แน่นอน
ที่สำคัญการดูแลรักษาก็ไม่ยาก ด้วยความที่เป็นรถที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานแบบทนทานอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาจุกจิกที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการใช้งาน จะลุยก็ได้ หรือจะขับเท่ๆ ในเมืองก็ดูดี
สรุปได้ว่า NEW FORTUNER LEGENDER เป็นรถที่สามารถตอบโจทย์ครบทุกด้านความคุ้มค่า ตั้งแต่ซื้อมาใช้ จนถึงวันขาย เพราะเป็นรถอเนกประสงค์ ที่ใช้งานได้หลากหลาย มีฟังก์ชันใหม่ๆที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน มีเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย ที่ทำให้มั่นใจได้ทุกการขับขี่
ใครที่กำลังมองหารถคุ้มๆ สักคันมาใช้งาน FORTUNER ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.toyota.co.th/fortuner/
vehicle control system 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
เปิดตัวในไทย ราคา รีวิว All-New Subaru Outback 2021 ซูบารุ เอาท์แบ็ค มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ล่าสุด Subaru EyeSight 4.0 ในงาน Bangkok International Motor Show 2021
บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำ The All-New OUTBACK ที่มาพร้อม Subaru EyeSight 4.0 เทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ล่าสุด มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในอาเซียน ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 4 เมษายน 2564 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 เมืองทองธานี
All-New Subaru Outback โฉมใหม่ มาพร้อมจุดขายสำคัญหลายประการ เช่นตัวถังที่ใหญ่ขึ้น พื้นที่ห้องโดยสารภายใน และพื้นที่จุสัมภาระที่กว้างขวางกว่าเดิม ขุมพลังที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น
Subaru Outback โฉมใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ล่าสุด Subaru EyeSight 4.0 ดวงตาอัจฉริยะคู่ใหม่ ที่เพิ่มความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพราะนอกจาก 6 ระบบการทำงาน ที่มีในอายไซต์รุ่นปัจจุบันแล้ว ยังขยายมุมรับภาพให้กว้างขึ้นอีก 2 เท่า พร้อมทั้งพัฒนาระบบการทำงานใหม่ เพื่อความปลอดภัยที่มากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
• Autonomous Emergency Steering ระบบบังคับเลี้ยวฉุกเฉินอัตโนมัติ: ช่วยหลีกเลี่ยงการชน โดยการหลบหลีกอัตโนมัติ ไปยังพื้นที่ว่างด้านข้าง ภายในช่องทางเดิม ในกรณีที่ไม่สามารถเลี่ยงการชน ด้วยระบบเบรกอัตโนมัติ (Pre-Collision Braking)
• Lane Centering Control/ Preceeding Vehicle Adaptive Steering Control ระบบบังคับรถให้อยู่กึ่งกลางถนน และระบบบังคับพวงมาลัย ตามรถด้านหน้า: ประสานการทำงานร่วมกับระบบ Adaptive Cruise Control ควบคุมพวงมาลัย ให้รถอยู่กึ่งกลางถนน ในขณะที่ขับตามรถด้านหน้า
• Pre-Collision Braking at Intersection ระบบป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ บริเวณทางแยก: มุมมองที่กว้างขึ้น ทำให้กล้องสามารถตรวจสอบยานพาหนะ ที่ขับสวนมา ในเส้นทางตรงข้าม ระบบจะช่วยเลี่ยงการชน ด้วยการเบรกอัตโนมัติ
• Lane Departure Prevention Function ระบบบังคับพวงมาลัยอัตโนมัติ: เมื่อรถจะหลุดออกนอกเส้นถนน ระบบจะเตือนด้วยเสียงก่อน ก่อนบังคับพวงมาลัย ให้กลับมาอยู่ในเส้นทางอัตโนมัติ
พร้อมกันนี้ ซูบารุ ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุด ได้แก่
• Driver Monitoring System (DMS) ระบบตรวจสอบผู้ขับ: จะจับการเคลื่อนไหวของใบหน้า หากผู้ขับมีอาการง่วง, หลับ หรือไม่มองไปที่ถนนด้านหน้า ระบบจะแจ้งเตือนบนจอแสดงผล และส่งเสียงเตือน เพื่อให้แน่ใจว่า คนขับมีสมาธิอยู่กับถนน นอกจากนี้ ระบบนี้ ยังสามารถจดจำใบหน้าของผู้ขับ และอำนวยความสะดวก โดยการปรับเบาะที่นั่ง, จอแสดงผล, กระจกมองข้าง และระบบปรับอากาศ
• Post-Collision Brake Control ระบบควบคุมการเบรกหลังการชน: ระบบจะป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หรือลดความเสียหายซ้ำซ้อน หลังจากการปะทะ ช่วยบังคับรถ ไม่ให้หลุดออกนอกเลน โดยการชะลอความเร็ว และหยุดรถอัตโนมัติ รวมทั้งเปิดไฟฉุกเฉิน แจ้งเตือนรถโดยรอบ
• Reverse Automatic Braking ระบบป้องกันการชนขณะถอยหลัง: ช่วยตรวจสอบพื้นที่ด้านหลัง ขณะถอยหลังที่ความเร็วต่ำ และจัดการเบรกให้อัตโนมัติ
The All-new Subaru Outback มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2,265,200 บาท ราคา Option Pack 433,800 บาท
นอกจากนี้ ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2021 บริษัทยังได้นำรถยนต์ซูบารุรุ่นต่างๆ มาจัดแสดง พร้อมกับข้อเสนอภายในงานสุดพิเศษ
ร่วมเปิดประสบการณ์การขับขี่ด้วยสุดยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีความปลอดภัยจากรถยนต์ซูบารุในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 ณ บูธ A19 ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 4 เมษายน 2564
vehicle control system 在 CarDebuts Youtube 的最佳貼文
เปิดตัวครั้งแรกในโลก พร้อมราคา The All-New Mitsubishi Outlander 2021-2022 World Premiere มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ โฉมใหม่ล่าสุด มี 3 แถว 7 ที่้นั่ง ทำตลาดในอเมริกาเหนือ ก่อนมาขายในไทย
Mitsubishi Motors Corporation ประกาศเปิดตัว All-New outlander โฉมใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 4 รุ่นปี 2022 รถครอสโอเวอร์รุ่น flagship ของบริษัท ผ่านทาง Amazon Livestream เป็นครั้งแรก โดยมาพร้อมดีไซน์ใหม่ คุณภาพระดับพรีเมี่ยม สมรรถนะที่เหนือชั้น และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ที่คุณสามารถคาดหวังได้ จากรถยนต์ของ Mitsubishi พร้อมเริ่มจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ เป็นที่แรกในโลก ในราคาเริ่มต้น 25,795 เหรียญสหรัฐ หรือราว 773,000 บาท ในเดือนเมษายน ปี 2021 นี้ ก่อนที่จะมีการทำตลาดทั่วโลก หลังจากนั้น
FRANKLIN, Tenn. – As part of a game-changing collaboration with Amazon, MITSUBISHI MOTORS CORPORATION (MMC) today revealed the all-new 2022 OUTLANDER crossover SUV via livestream, the first vehicle to ever debut on Amazon Live.2 All-new from the wheels up, the 2022 Outlander features a new design direction for both this vehicle and the brand, plus the premium quality, rugged performance and innovative technology expected of a Mitsubishi Motors vehicle.
The flagship of the Mitsubishi Motors line, it is reimagined and reinvented in every way, and is the best-equipped, most thoughtfully engineered vehicle the company has ever developed. Outlander gears up for sale in North America first in April 2021, with other global markets to follow.
With a U.S. Manufacturer's Suggested Retail Price starting at $25,7951, the all-new 2022 Mitsubishi Outlander delivers the equipment, quality and lasting value that Mitsubishi customers have come to expect of the brand. Full pricing and packaging details will be made available at a later date.
"Based on the product concept 'I-Fu-Do-Do,' which means authentic and majestic in Japanese, the all-new OUTLANDER has been crafted into a reliable SUV with significantly upgraded styling, road performance, and a high-quality feel to satisfy the needs of customers who want to expand their horizons and take on challenges of every kind," said Takao Kato, chief executive officer of MMC. "With the launch of the all-new OUTLANDER, we will first expand our sales in the North American market and then aim for global growth."
The Outlander was first launched in North America in 2002, and this new model is the fourth generation to be sold.
Styling debuts the brand's next generation Dynamic Shield front face and design language, with muscular fenders, bold proportions and available large-diameter 20-inch wheels. Inside, Outlander is a quiet and serene space, showcasing quality and convenience through class-above materials, seating for seven in the segment's only standard-equipment third-row, available 12.3-inch digital instrument cluster and 9-inch center screen, and also newly available wireless smartphone charging capability with Android Auto3 and wireless Apple CarPlay.4
The engineering underpinnings are also all-new. Partnered with a newly developed platform and 2.5L four-cylinder engine, Mitsubishi's rally-derived Super All-Wheel Control5 system provides unmatched confidence for drivers in all environments. The newly developed drive mode selector allows performance and grip to be tailored to the conditions through six distinct settings, increasing on-road and off-pavement performance. Even two-wheel drive models are fitted with the drive-mode selector, offering five distinct modes in this setup, to help drivers feel more confident in all driving conditions.
Standard equipment on the 2022 Outlander includes 11 airbags6, three rows of seats, myriad storage locations, USB-A and USB-C charge ports and 18-inch wheels.
Depending on trim level, the 2022 Outlander can be fitted with 20-inch wheels, Mitsubishi's MI-PILOT Assist driver assistance system with adaptive cruise control and lane-keep assist7, semi-aniline leather seating, integrated navigation using what3words technology, a windshield-display 10.8-inch full-color Head-Up Display (HUD), Mitsubishi's industry-leading Mitsubishi Connect smart-car system, and a 10-speaker BOSE® audio system.8
Mitsubishi Motors North America is in the midst of introducing a full showroom of redesigned, reengineered or all-new vehicles, and the 2022 Outlander is the culmination of that program. This much-anticipated vehicle is here, and the game-changing launch is well under way. The all-new 2022 Mitsubishi Outlander is set to break boundaries, reset expectations and demand attention.
vehicle control system 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
NEW MG EP มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัย ด้วยกระจังหน้าแบบ Suspended Wing Grille ที่ตกแต่งด้วยโครเมียม และสี Piano Black ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน LED Daytime Running Light พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้าย LED แบบ Electric Pulse Design และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ล้ออัลลอยด์ดีไซน์แบบสปอร์ต ขนาด 16 นิ้ว
NEW MG EP ได้รับการตกแต่งภายใน ด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม (Soft Touch) ดีไซน์เส้นสายแบบ CARBOXNYXE แสดงให้เห็นถึงความประณีต ในทุกรายละเอียด เบาะคู่หน้า ออกแบบตามหลัก สรีรศาสตร์ (Anti-Curved Surface Design) ซึ่งโอบรับ กับเส้นสายสรีระได้เป็นอย่างดี นั่งสบายตลอดเส้นทาง อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวก อาทิเช่น หน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอล (Digital Multi-Function Display) ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงผลได้อย่างสวยงามและชัดเจน พร้อมระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล กระจกมองหลังตัดแสง กระจกไฟฟ้า แบบ One Touch Up-Down ด้านคนขับ ที่จะทำให้การใช้งาน มีความง่ายมากยิ่งขึ้น
NEW MG EP มาพร้อมการติดตั้ง เทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ตามมาตรฐาน โดยแต่ละระบบ จะมีการทำงานผสานกัน ทำให้เกิดความปลอดภัย และมีความมั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-Lock Braking System)
ระบบกระจายแรงเบรก ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake Force Distribution)
ระบบเสริมแรงเบรก ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
ระบบป้องกันการไหลของรถ โดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
ระบบควบคุมการเบรก ในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ไฟส่องนำทาง หลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) จุดยึดเบาะ ISOFIX เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า แบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า กล้องมองหลัง พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และระบบกุญแจนิรภัย แบบ Immobilizer
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ไฟส่องนำทาง หลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) จุดยึดเบาะ ISOFIX เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า แบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า กล้องมองหลัง พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และระบบกุญแจนิรภัย แบบ Immobilizer
NEW MG EP ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% โดยใช้แบตเตอรี่ Lithium-Ion มีความจุรวม ถึง 50.3 kWh ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ได้ระยะทางไกล ถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐานความประหยัดพลังงาน New European Driving Cycle - NEDC) นอกจากนี้ แบตเตอรี่ของ NEW MG EP ยังได้รับการทดสอบ ตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น ระดับ IP67 พร้อมด้วยระบบ ระบายความร้อน แบบ Liquid Cooling System ที่จะช่วยให้แบตเตอรี่ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ภายใต้สภาวะต่างๆ
ในด้านของสมรรถนะ NEW MG EP ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 8.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด ได้ที่ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ ทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco และ โหมด Sport
NEW MG EP สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ 2 แบบ คือ Quick Charge แบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 โดยชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0 – 80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0 – 100% ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จนั้น จะขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่ กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ด้วย KERS Mode (Kinetic Energy Recovery System) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับ ได้ถึง 3 ระดับ
ระบบกันสะเทือนของช่วงล่าง แบบ Euro Tuning Suspension เสริมด้วยระบบช่วงล่างหน้า แบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลัง แบบทอร์ชั่นบีม ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้น เมื่อขับขี่บนทุกสภาพถนน
มาพร้อมกับการดูแลรักษาที่ง่าย และมีค่าใช้จ่ายต่ำ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ที่ได้จากการชาร์จ ผ่าน MG Home Charger ง่ายๆที่บ้าน โดยสามารถชาร์จ จาก 0-100% และมีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นค่าไฟฟ้า ประมาณ 200 บาท*ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่าย ในการบำรุงรักษาตามระยะทาง ตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน จะมีค่าใช้จ่ายรวม ไม่เกิน 8,000 บาท อีกทั้งการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ในระยะยาว MG ยังนำเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ แบบ Module มาใช้ ในกรณีหากจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษา สามารถแยกเปลี่ยนเฉพาะ Module นั้นๆได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุด จึงช่วยลดค่าใช้จ่าย ในระยะยาวได้