สรุป 5 วิธีประเมินมูลค่า คริปโทเคอร์เรนซี /โดย ลงทุนแมน
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2564 บิตคอยน์ได้ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.9 ล้านบาท ต่อเหรียญ
คิดเป็นมูลค่าตลาดรวมถึง 35.8 ล้านล้านบาท และถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดอันดับที่ 8 บนโลก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลายคนก็ได้ตั้งคำถามว่ามูลค่าของบิตคอยน์ ถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง และเราจะประเมินมูลค่าของสินทรัพย์นี้อย่างไร ?
และเมื่อไม่นานมานี้ CFA หรือสถาบันที่รับรองคุณวุฒิด้านวิชาชีพนักการเงินทั่วโลกได้ตีพิมพ์เอกสารที่กล่าวถึงเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ด้วย
โดยวิธีการประเมินมูลค่าดังกล่าวเป็นการรวบรวมโดยคุณ Hougan และ คุณ Lawant ที่อยู่ในเอกสารเผยแพร่ของทาง CFA ซึ่งไม่ได้เป็นความเห็นจากสถาบันอย่างเป็นทางการ
วันนี้ เรามาดูกันว่ามีแนวทางประเมิน
มูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนหน้านี้ การประเมินมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซีถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อน
เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้สร้างกระแสเงินสดขึ้นมา
จึงทำให้ยากต่อการประเมินมูลค่าอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม CFA ก็ได้ระบุว่ามี 5 แนวทางในการประเมินมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซี
ซึ่งก็ต้องบอกว่าแต่ละแนวทางมีสมมติฐานและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
เรามาเริ่มกันที่แนวทางที่ 1 เมื่อเรามองว่า “คริปโทเคอร์เรนซีเข้ามาแทนที่ทองคำ”
วิธีนี้จะเป็นการประเมินมูลค่าในลักษณะของการเปรียบเทียบ
ระหว่างมูลค่าตลาดของสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี กับมูลค่าของทองคำ
โดยเราต้องคาดการณ์ว่าคริปโทเคอร์เรนซีนั้นจะมาแทนทองคำเป็นสัดส่วนเท่าใด
เช่น หากเราคาดการณ์ว่าบิตคอยน์จะมาแทนที่ทองคำได้ราว 10%
ปัจจุบัน ทองคำ มีมูลค่าตลาด 342 ล้านล้านบาท
บิตคอยน์ มีมูลค่าตลาด 32 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.4% เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดทองคำ ก็จะดูสมเหตุสมผลกับที่เราคาดการณ์
แต่สำหรับใครที่คิดว่าบิตคอยน์จะมาแทนที่ทองคำได้ในสัดส่วน 5%
บิตคอยน์ ก็จะถือว่ามีมูลค่าที่สูงเกินไปแล้ว นั่นเอง
แนวทางที่ 2 เมื่อเรามองว่า “คริปโทเคอร์เรนซีเข้ามาแทนที่สกุลเงินทั่วไป”
แนวทางนี้จะเป็นวิธีเดียวกับการประเมินมูลค่าของเงินตราทั่วไปแบบดั้งเดิม
ที่ประเมินจากปริมาณและรอบหมุนของเงินในระบบ
โดยเราจะมี 4 ตัวแปรหลักที่สำคัญ แบ่งออกเป็น
- Money Supply (M) คือ มูลค่าตลาดของคริปโทเคอร์เรนซีที่เราสนใจ
- Velocity of Money (V) คือ ความถี่ของการใช้คริปโทเคอร์เรนซีในรอบ 1 ปี
- Price Level (P) คือ มูลค่าเฉลี่ยของธุรกรรมการใช้คริปโทเคอร์เรนซีที่เกิดขึ้น
- Quantity of Goods and Services (Q) คือ จำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้น
โดยสมการที่ได้ก็อยู่ในรูปแบบของ M x V = P x Q
ยกตัวอย่างเช่น หากบิตคอยน์มีปริมาณธุรกรรม 1 แสนล้านครั้ง ต่อปี (Q)
ในขณะที่มีการใช้จ่ายด้วยบิตคอยน์ราว 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อธุรกรรม (P)
หมายความว่า P x Q หรือ มูลค่าธุรกรรมทั้งหมดจะมีมูลค่าราว 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี
ทีนี้ หากว่าบิตคอยน์ ถูกเปลี่ยนมือ (V) เฉลี่ยราว 5 ครั้ง ต่อปี
เราก็สามารถคำนวณมูลค่าตลาดของคริปโทเคอร์เรนซี หรือ M ที่ควรจะเป็นได้ โดย M = P x Q / V
ซึ่งเท่ากับ 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นเอง
หลังจากนั้น เราก็สามารถนำมูลค่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่คำนวณได้
มาเทียบได้ว่าสูงหรือต่ำกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากน้อยขนาดไหน
แนวทางที่ 3 เมื่อเรามองว่า “คริปโทเคอร์เรนซีเป็นระบบเครือข่าย”
ปกติวิธีนี้จะนิยมใช้วัดมูลค่าสำหรับกลุ่มธุรกิจแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์
เช่น Facebook, Instagram หรือ Twitter
โดยมูลค่าของบริษัทเหล่านี้จะเพิ่มสูงขึ้น ตามจำนวนผู้ใช้งานที่เยอะขึ้น
ในขณะที่ หากแพลตฟอร์มไม่มีผู้ใช้งาน บริษัทก็จะมีมูลค่าเท่ากับ “0”
โดยสมการของการประเมินมูลค่าเบื้องต้น
ก็คือ นำจำนวนผู้ใช้งานบนคริปโทเคอร์เรนซียกกำลังด้วย 2
อย่างไรก็ตาม ทาง CFA ก็ได้ระบุว่ามีข้อจำกัดเรื่องคุณภาพของผู้ใช้งาน
เพราะการได้มาของผู้ใช้งานในบางครั้ง ไม่ได้เกิดขึ้นจากการสร้างเครือข่าย
แต่เกิดมาจากการโฆษณา จึงทำให้วิธีนี้ ไม่ถูกนำมาพูดถึงมากนัก
แนวทางที่ 4 เมื่อเรามองว่า “คริปโทเคอร์เรนซีเป็นเสมือนสินค้าโภคภัณฑ์”
สินค้าโภคภัณฑ์คือ สินค้าที่มีลักษณะเหมือนกันทั่วโลก
ยกตัวอย่าง เช่น น้ำมันดิบ, ยางพารา, ถ่านหิน, ข้าว, น้ำตาล
วิธีการประเมินมูลค่าของสินค้าโภคภัณฑ์
จะคำนวณจากต้นทุนในการผลิตเพื่อให้ได้สินค้า
โดยต้นทุนหลักสำหรับคริปโทเคอร์เรนซี ก็คือ ค่าไฟฟ้า ค่าเซิร์ฟเวอร์ และค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการขุด
ซึ่งมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซีที่ควรจะเป็นไม่ควรต่ำกว่าต้นทุนทั้งหมดนี้
แนวทางที่ 5 เมื่อเรามองว่า “คริปโทเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัด”
วิธีนี้จะคำนวณด้วยโมเดลที่เรียกว่า Stock-to-Flow
ซึ่งวิธีดังกล่าวมักจะถูกนำมาคำนวณหามูลค่าของสินทรัพย์ที่หายาก เช่น ทองคำและเงิน
ทั้งนี้ Stock-to-Flow ถูกออกแบบมาใช้กับบิตคอยน์โดยเฉพาะ เนื่องจากบิตคอยน์มีลักษณะคล้ายกันกับทองคำและเงิน คือ มีอยู่อย่างจำกัด และมีความสามารถในการกักเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ได้
โดยโมเดล Stock-to-Flow จะเป็นการเทียบสัดส่วนระหว่าง
มูลค่าบิตคอยน์ที่มีอยู่ทั้งหมดบนโลก หารด้วยมูลค่าที่ผลิตขึ้นใหม่ได้ในแต่ละปี
ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละปี มูลค่าของบิตคอยน์ทั้งหมดบนโลกจะเพิ่มขึ้น
ในขณะที่บิตคอยน์ก็จะผลิตยากขึ้นเพราะในทุก ๆ สี่ปีจะเกิดกระบวนการ Halving
หรือการลดผลตอบแทนจากการผลิตบิตคอยน์ลงครึ่งหนึ่ง
อีกความหมายหนึ่งก็คือ ขุดได้ยากขึ้น นั่นเอง
นั่นจึงทำให้การประเมินมูลค่าบิตคอยน์ด้วย Stock-to-Flow จะมีลักษณะเป็นเทรนด์ขาขึ้นตลอดเวลา
ซึ่ง CFA ก็ได้ระบุว่าโมเดลนี้เป็นเพียงหนึ่งในแนวทางประเมินมูลค่า แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีนี้ เพราะดูเหมือนว่าการเกิดขึ้นที่น้อยลงของบิตคอยน์ได้ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวแล้ว ซึ่งถ้าใช้วิธีนี้ในการประเมินมูลค่าก็จะไม่มีวันที่มูลค่าลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นไปตลอดกาล
ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเหมือนวิธีอื่น ที่มูลค่าที่เหมาะสมจะขึ้นลงตามปัจจัยอื่น ๆ ด้วย
ถึงตรงนี้ เราก็คงพอจะรู้แล้วว่ามีวิธีอะไรบ้าง
ที่เราจะนำมาใช้เพื่อหามูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซี
แม้ว่าจะมีแนวทางการประเมินมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซีที่หลากหลาย
แต่ตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่มีโมเดลไหนที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ตาม แนวทางทั้งหมดที่กล่าวมาก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการประเมินมูลค่า
เพราะถ้าหากเราไม่รู้มูลค่าที่เหมาะสมของสินทรัพย์ที่จะลงทุนเลย
การซื้อครั้งนั้น ก็อาจจะเรียกว่าเป็นการเก็งกำไร มากกว่าการลงทุน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://coinmarketcap.com/currencies/บิตคอยน์/
-https://www.cfainstitute.org/-/media/documents/article/rf-brief/rfbr-cryptoassets.ashx
-https://saylordotorg.github.io/text_developing-new-products-and-services/s04-12-there-is-power-in-numbers-netw.html
velocity of money 在 口袋財經 Pocket Money Facebook 的精選貼文
【20191101 口袋日常新聞】
Twitter 禁止政治廣告
- Twitter 將在 11/22 全面禁止政治廣告
- 新的政治廣告規範將在 11/15 實施
- 美國總統候選人 Joe BIden 要求 Facebook、Twitter 和 Youtube 禁止投放虛假廣告
- Facebook 認為社群平台不該進行言論核實,這違反了言論自由
- Twitter 則是準備開始規範了
- 附上 Twitter CEO John Dorsey 的發表內容
Dorsey’s full statement on the rule change is below (emojis removed):
We’ve made the decision to stop all political advertising on Twitter globally. We believe political message reach should be earned, not bought. Why? A few reasons...
Political message earns reach when people decide to follow an account or retweet. Paying for reach removes that decision, forcing highly optimized and targeted political messages on people. We believe this decision should not be compromised by money.
While internet advertising is incredibly powerful and very effective for commercial advertisers, that power brings significant risks to politics, where it can be used to influence votes to affect the lives of millions.
Internet political ads present entirely new challenges to civic discourse: machine learning-based optimization of messaging and micro-targeting, unchecked misleading information, and deep fakes. All at increasing velocity, sophistication, and overwhelming scale.
These challenges will affect ALL internet communication, not just political ads. Best to focus our efforts on the root problems, without the additional burden and complexity taking money brings. Trying to fix both means fixing neither well, and harms our credibility.
For instance, it‘s not credible for us to say: “We’re working hard to stop people from gaming our systems to spread misleading info, buuut if someone pays us to target and force people to see their political ad…well...they can say whatever they want!
We considered stopping only candidate ads, but issue ads present a way to circumvent. Additionally, it isn’t fair for everyone but candidates to buy ads for issues they want to push. So we’re stopping these too.
We’re well aware we‘re a small part of a much larger political advertising ecosystem. Some might argue our actions today could favor incumbents. But we have witnessed many social movements reach massive scale without any political advertising. I trust this will only grow.
In addition, we need more forward-looking political ad regulation (very difficult to do). Ad transparency requirements are progress, but not enough. The internet provides entirely new capabilities, and regulators need to think past the present day to ensure a level playing field.
We’ll share the final policy by 11/15, including a few exceptions (ads in support of voter registration will still be allowed, for instance). We’ll start enforcing our new policy on 11/22 to provide current advertisers a notice period before this change goes into effect.
A final note. This isn’t about free expression. This is about paying for reach. And paying to increase the reach of political speech has significant ramifications that today’s democratic infrastructure may not be prepared to handle. It’s worth stepping back in order to address.
➡️ 原文連結 http://bit.ly/34o9GtT
➡️ 新聞來源 The Verge
velocity of money 在 Adelina Chan Facebook 的最讚貼文
Come and join me & the rest of the artist for De' Jumble Sale . We will be selling out our pre loved goods. Your money will go to CLAPAM
你们想要购物到我们艺人们的东西吗?那就来join我们吧。你们的捐款会给予马来西亚唇裂和腭裂协会(CLAPAM)以帮助更多的小孩子拥有更完美的嘴唇。这是一场非常有意义的慈善活动,希望大家能够多多的支持,与你不见不散哦。。。
❤️❤️❤️
[ Fashion charity with Adelina Annabelle Chan ]
At De' Jumble Sale, you would be able to find artists donating their goods for public selling which all the profit would be donated to our charitable foundation at Cleft Lips And Palate Association Malaysia (CLAPAM). By buying fashionable second hand apparel donated by the artists, you can benefit by doing charity, creating less waste by recycling and at the same time owning a fashionable goods.
Helping other by doing good and good will come to you. So mark down your date & join this meaningful which only happening at Sunway Velocity Mall
Date: 3rd - 9th September 2019
Time: 10am to 10pm
Venue: Sunway Velocity Mall
#dejumblesale #dejumblesale2019 #charity #activities #fashion #artist #celebrities #fm #dj #singer #brandambassador #tvhost #AdelinaAnnabelleChan #influencer #clothing #apperance #csrprogram #funding #goldenlandexpo #eventcompany #eventorganizer #eventlifestyle #eventplanning #eventmanagement #eventmalaysia
velocity of money 在 11.1 The Quantity Theory of Money 的推薦與評價
money supply × velocity of money = price level × real GDP. Let us see how these equations work by looking at 2005. In that year, nominal GDP was about $13 ... ... <看更多>