Black Friday การปั่นราคาทองคำ ครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา /โดย ลงทุนแมน
พอพูดถึง Black Friday หลายคนอาจนึกถึงวันที่ร้านค้าต่าง ๆ ลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ที่สุดของปี ซึ่งตามธรรมเนียมของชาวอเมริกันนั้น จะจัดขึ้นวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้าของชาวอเมริกันในเดือนพฤศจิกายน
แต่สำหรับเรื่องราวในวงการการลงทุนนั้น
“Black Friday” เป็นอีกวันแห่งประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่มีเหตุการณ์อื้อฉาวในโลกการลงทุนเกิดขึ้น
ซึ่งตรงกับ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน ปี 1869 หรือเมื่อ 152 ปีที่แล้ว
ที่น่าสนใจคือ หนึ่งในคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เป็นถึงน้องเขยของ คุณ Ulysses S. Grant ประธานาธิบดีคนที่ 18 ของสหรัฐอเมริกา อีกด้วย
เหตุการณ์อื้อฉาวทางการเงินในครั้งนั้นเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวในครั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองในช่วงระหว่างปี 1861-1865 ระหว่างรัฐทางตอนเหนือกับรัฐทางตอนใต้ เพราะความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับเรื่องการใช้แรงงานทาส
ผลจากสงครามนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้หลายชีวิตต้องสูญเสียเลือดเนื้อ
แต่ยังตามมาด้วยภาระหนี้สินของภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาทำการกู้เงินจำนวนมากเพื่อมาใช้ระหว่างเกิดสงคราม
ต่อมาในปี 1869 คุณ Ulysses S. Grant ได้เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่ 18
เขาถูกคาดหวังว่า จะเป็นคนที่เข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ให้กลับมาเหมือนช่วงก่อนที่จะเกิดสงคราม และหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของเขาคือ การลดภาระหนี้ที่รัฐบาลก่อไว้
รัฐบาลของประธานาธิบดี Grant ตั้งเป้าจะขายทองคำที่รัฐบาลถือครองอยู่จำนวนมาก เพื่อนำเงินไปไถ่ถอนพันธบัตร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องคำนึงในตอนนั้นก็คือ การนำทองคำออกมาขายจำนวนมาก จะมีผลกดดันให้ราคาทองคำนั้นลดต่ำลง
และในเวลานี้เองที่มีตัวละครสำคัญ เพิ่มขึ้นมาอีก 4 คน นั่นคือ
- Jay Gould นักธุรกิจเจ้าของกิจการรถไฟ และนักเก็งกำไรในตลาดการเงิน
- James Fisk นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และยังเป็นนักการเงินหัวหมอในตลาดหุ้นวอลล์สตรีต
- Abel Corbin บรรณาธิการหนังสือพิมพ์และนักการเงิน ที่สำคัญก็คือ Abel Corbin คนนี้ ยังเป็นน้องเขยของคุณ Ulysses S. Grant ที่เป็นประธานาธิบดีอยู่ในขณะนั้นอีกด้วย
- Daniel Butterfield อดีตนายทหารผ่านศึก และนักธุรกิจชื่อดัง
เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลกำลังวางแผนจะขายทองคำครั้งใหญ่มาใช้หนี้ Jay Gould และ James Fisk ก็เริ่มวางแผนการบางอย่าง
ด้วยความที่ทั้งคู่รู้จักกับ Abel Corbin นักการเงินที่เป็นน้องเขยของคุณ Ulysses S. Grant ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในตอนนั้น
Jay Gould และ James Fisk จึงพยายามขอร้องให้ Abel Corbin ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับประธานาธิบดี Grant
โดยเป้าหมายของทั้งคู่ ก็เพื่อจะเข้าถึงข้อมูลวงใน และเข้ามามีอิทธิพลเกี่ยวกับนโยบายการซื้อขายทองคำของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
สุดท้าย Jay Gould และ James Fisk ก็มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับ ประธานาธิบดี Grant ตามต้องการ
Jay Gould และ James Fisk ได้ใช้มาดนักธุรกิจที่ดูมีความรู้ด้านการเงินและเศรษฐกิจ หว่านล้อมและแนะนำให้ตัวละครอีกตัว ซึ่งก็คือ Daniel Butterfield อดีตนายทหารผ่านศึก และนักธุรกิจชื่อดัง ได้เข้าไปมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาในกระทรวงการคลัง
ด้วยความที่ Daniel Butterfield เป็นอดีตทหารที่ผ่านสงครามกลางเมืองที่ได้รับการยกย่อง อีกทั้งยังเป็นนักธุรกิจที่มีความรู้ด้านการเงิน และทั้ง 3 คน ยังรู้จักกับ Abel Corbin ที่เป็นน้องเขยของเขาอีก
สุดท้าย ประธานาธิบดี Grant ก็ได้ปรึกษากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และยินยอมแต่งตั้งให้ Daniel Butterfield เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีคลังในที่สุด
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน Jay Gould และ James Fisk ก็ตกลงจะให้สินบนแก่ Daniel Butterfield แลกกับการได้รู้ข้อมูลวงในว่า รัฐบาลจะขายทองคำในช่วงเวลาไหน
ทั้งคู่ยังได้เข้าพูดคุยกับประธานาธิบดี Grant หลายครั้ง
และทุกครั้งจะพยายามบอกว่า ราคาทองคำที่สูงขึ้น จะช่วยทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลง ซึ่งเป็นการช่วยเกษตรกรชาวอเมริกัน ให้สามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปขายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
พูดง่าย ๆ คือ โน้มน้าวไม่ให้รัฐบาลรีบขายทองคำออกมาก่อน
ในขณะเดียวกัน Jay Gould และ James Fisk ก็อาศัยความเป็นคนกว้างขวางในวงการนักลงทุน มาบอกเล่ากลุ่มนักลงทุนหลายคนว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกา จะยังไม่ขายทองคำจำนวนมากออกสู่ตลาด เพราะต้องการให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงก่อน
นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำหลาย ๆ คนที่เชื่อคำบอกเล่าของทั้งสองคน ก็เริ่มเข้าซื้อทองคำมากขึ้น และเริ่มบอกปากต่อปากกันไปทั่วตลาดว่า ราคาทองกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นแน่นอน
ด้วยความที่ Jay Gould และ James Fisk ได้เข้าไปไล่ซื้อทองคำมาตุนไว้ก่อนหน้านี้ในจำนวนมหาศาล และดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นได้สำเร็จ พวกเขาจึงขายทองคำได้กำไรมหาศาลในช่วงเวลานั้น
นอกจากนั้น Abel Corbin น้องเขยของประธานาธิบดี Grant และ Daniel Butterfield ผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง ก็ซื้อทองคำจำนวนมากมาเก็บไว้เก็งกำไรเช่นกัน
ราคาทองคำพุ่งขึ้นจาก 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เป็น 137 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3,300% เพียงแค่ 6 วันหลังจากที่ข่าวลือจาก Jay Gould และ James Fisk แพร่สะพัดไปทั่วตลาด
การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ ยิ่งดึงดูดนักเก็งกำไรให้เข้ามาซื้อทองคำมากยิ่งขึ้น คนจำนวนไม่น้อยเริ่มกู้ยืมเงินเพื่อมาซื้อทองคำ และยิ่งดันราคาทองคำให้สูงขึ้นไปอีก
แต่จนสุดท้ายแผนการของพวกเขาก็เริ่มล่มสลาย
เพราะประธานาธิบดี Grant ได้ไปพบจดหมายของ Abel Corbin ที่เขียนถึงน้องสาวของเขา (ภรรยาของ Abel Corbin) เกี่ยวกับการวางแผนโน้มน้าวไม่ให้รัฐบาลขายทองคำออกมา
พอรู้แบบนี้ ประธานาธิบดี Grant ก็รู้แล้วว่า เขากำลังถูกหลอก
เขาโกรธมาก และสั่งให้รัฐมนตรีคลังขายทองคำของรัฐบาลจำนวนมาก ออกสู่ตลาดในทันที โดยไม่สนใจว่าจะส่งผลให้ราคาทองลดลงมากแค่ไหนอีกต่อไป
เรื่องนี้ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนหลายคนที่ตื่นตระหนก ก็ยิ่งเร่งขายทองคำที่ถืออยู่ออกไป
นักลงทุนจำนวนมากบาดเจ็บหนัก หลายคนถึงกับล้มละลาย โดยเฉพาะคนที่กู้เงินมาซื้อทองคำจนเกินตัว
ความโกลาหลในตลาดทองคำ ยังส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปยังตลาดหุ้น และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ปรับตัวลดลงอย่างหนัก
ราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง สร้างความบอบช้ำให้แก่เกษตรกรในสหรัฐอเมริกา ที่ตอนนั้นคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของแรงงานทั้งประเทศ
ผลของเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ Daniel Butterfield อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีคลังถูกสอบสวนความผิด และถูกไล่ออกจากตำแหน่ง
ส่วน Abel Corbin น้องเขยตัวร้ายของประธานาธิบดี ก็ต้องขาดทุนอย่างหนักจากราคาทองคำที่ลดลงในครั้งนี้ เนื่องจากเขาเป็นคนหนึ่งที่กู้เงินมาซื้อทองคำอย่างหนัก
ขณะที่ตัวการสำคัญ 2 คน คือ Jay Gould และ James Fisk กลับรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้มาได้ในช่วงแรก
เนื่องจากได้ขายทองคำออกไปก่อนที่ราคาจะลดลงอย่างรุนแรง รวมทั้งว่าจ้างทนายหัวกะทิ เพื่อช่วยว่าความ จนตัวเองหลุดพ้นคดี
แต่ชีวิตหลังจากนั้นของทั้งคู่ก็ไม่สดใสมากนัก Jay Gould กลับไปทำกิจการรถไฟต่อ แต่กลับเสียชีวิตด้วยวัณโรคตอนอายุ 56 ปี
ขณะที่ James Fisk ถูกเพื่อนยิงตาย ตอนที่มีอายุเพียง 36 ปี เนื่องจากความขัดแย้งทางธุรกิจ
และนี่ก็คือบทสรุปของ เรื่องราวอื้อฉาวทางการเงิน
ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในหน้าประวัติศาสตร์การลงทุน ของสหรัฐอเมริกา Black Friday..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.in2013dollars.com/us/inflation/1860?amount=1
-https://www.britannica.com/biography/Jay-Gould#ref152682
-https://en.wikipedia.org/wiki/Black_Friday_(shopping)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Black_Friday_(1869)
-https://en.wikipedia.org/wiki/New_York_Gold_Exchange
-https://www.pbs.org/wgbh/americanexperience/features/grant-black-friday/
-https://en.wikipedia.org/wiki/James_Fisk_(financier)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jay_Gould
wgbh podcast 在 轉角國際 udn Global Facebook 的最佳貼文
【#轉角國際podcast】:這周繼續抽轉角小禮物!
重磅廣播的美國波士頓篇第二彈上線,流連忘返的編輯七號這次用1分半鐘時間(其實超過了)亂入美國公共廣播電台WGBH,為大家介紹這座與波士頓公共圖書館合體的開放式廣播錄音。在本影片留言區tag你一位曾幻想當DJ、或是愛去圖書館的朋友,10/21前完成,我們將抽出兩位讀者分別贈送美國獨立宣言仿舊文稿、波士頓屠殺紀念明信片各一份。
• BPL波士頓公共圖書館,申請借書證、調閱檔案都超方便
• BPL x WGBH公共廣播電台:開放空間、鼓勵對話
• 無論你語言能力如何,都歡迎你成為廣播專訪的來賓
• 每周節目可上網查詢,部分時段將可以看到現場直播
▌本集完整內容請聽SoundCloud版:
• 用 RSS 訂閱:https://goo.gl/48CruJ
• 用 iTunes 收聽: https://goo.gl/o06EBG
• 用 SoundCloud 收聽:https://goo.gl/WSho3A
#重磅廣播 #美國 #波士頓 #波士頓公共圖書館 #BPL #WGBH #公共廣播
wgbh podcast 在 Yo-Yo Ma Facebook 的最佳貼文
Had a great conversation with Kara Miller for the Innovation Hub radio podcast.
– WGBH & PRI Public Radio International