SCB จะตั้งบริษัท โฮลดิง ทำธุรกิจใหม่หลายบริษัท
นอกจาก ข่าวเรื่อง AIS จะร่วมมือกับ SCB จัดตั้งเป็นบริษัท “AISCB” เพื่อเน้นการปล่อยสินเชื่อด้านดิจิทัลแล้ว
ล่าสุด มีข่าวจากเว็บไซต์ข่าวหุ้นว่า SCB กำลังจะตั้งบริษัทโฮลดิง อธิบายง่าย ๆ ก็คือ เป็นผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนในธุรกิจอื่น ยกตัวอย่างธุรกิจโฮลดิงในประเทศไทย ก็เช่น PTT และ INTUCH ที่ลงทุนในหลากหลายธุรกิจ
จากข่าว SCB จะแตกธุรกิจของเดิม เข้าสู่บริษัทใหม่
ซึ่งการทำแบบนี้เรียกว่า Spin-Off หรือ แยกธุรกิจออกมาจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ การทำแบบนี้ก็เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวธุรกิจ
ยกตัวอย่างธุรกิจที่จะถูกนำไปจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็คือ ธุรกิจบัตรเครดิต คล้ายกับ KTC ของธนาคารกรุงไทย
ตอนนี้ KTC มีมูลค่าบริษัท 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า ธนาคารกรุงไทย ที่ 1.56 แสนล้านบาทเสียอีก ทั้งที่ธนาคารกรุงไทยมีกำไรมากกว่า KTC 3 เท่า
พอเรื่องเป็นแบบนี้ SCB ก็เล็งเห็นถึงมูลค่าที่ซ่อนอยู่ของบริษัทตัวเอง และส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจเหล่านี้ของ SCB ก็ไม่น้อยหน้าใครเสียด้วย
ถ้าข่าวนี้เป็นจริง และ SCB เลือกที่จะ Spin-Off บริษัทลูกของตัวเองออกมา แล้วตั้งบริษัทใหม่ขึ้นเป็นโฮลดิง ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่ผู้บริหารรู้จักใช้เทคนิค เครื่องมือทางตลาดทุน ในการเพิ่มมูลค่าทางตลาดให้กับธุรกิจในเครือ
ดูเหมือนว่า แนวโน้มในอนาคต ธนาคารจะต้องแยกธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีออกจากธนาคารเดิม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เพราะมุมมองของนักลงทุนต่อธนาคารรูปแบบเดิม อาจจะไม่ชอบใจสักเท่าไร แต่ถ้าแยกธุรกิจแล้วปรับแต่งให้เติบโต จากของที่คนไม่ค่อยเห็นค่า ก็อาจกลายเป็นของที่คนแย่งกัน ก็เป็นได้..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นนี้ การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
References
-https://www.kaohoon.com/news/479591
-https://www.settrade.com/simsImg/news/histri/202109/21103658.pdf
「www.settrade.com ptt」的推薦目錄:
www.settrade.com ptt 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
[BREAKING] ตลาดหุ้นไทยปิดช่วงเช้า -24 จุด กังวลล็อกดาวน์
ตลาดหุ้นไทย ยังคงเผชิญแรงเทขายอย่างหนักโดยปิดการซื้อขายภาคเช้าวันนี้ ที่ 1,552.25 จุด หรือ -24.35 จากราคาปิดเมื่อวานนี้ คิดเป็น -1.54%
โดยสาเหตุสำคัญมาจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจจะนำไปสู่การล็อกดาวน์ครั้งใหญ่ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปีที่แล้ว
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ทุกวัน
โดยวันนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่มีจำนวน 7,058 รายและมีการคาดการณ์กันว่าจะมีแนวโน้มที่ทะลุ 10,000 รายในสัปดาห์หน้า
ทำให้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เสนอศบค. ให้ออกมาตรการคุมโรคระบาดเข้มข้นขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่การให้ล็อกดาวน์ 14 วัน และปลดล็อกให้สถานพยาบาลใช้ Rapid Test ในการตรวจคัดกรองผู้ป่วย รวมถึงเร่งฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง
โดย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าได้เสนอยกระดับมาตรการทางสังคม ในการจำกัดการเดินทาง ไม่อยากให้ประชาชนออกนอกเคหะสถานถ้าไม่จำเป็น ยกเว้น ไปโรงพยาบาล ไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร
นอกจากนั้นยังเสนอไม่ให้เดินทางข้ามจังหวัด และปิดสถานที่เสี่ยงทั้งหมด ยกเว้น ตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต
โดยมาตรการทั้งหมดนี้จะถูกใช้พื้นที่สีแดงในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เป็นเวลา 14 วัน โดยได้เสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.ไปแล้ว ซึ่งต้องรอ ศบค.พิจารณาอีกครั้ง
หากมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นจริงเหมือนกับในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างในทันที แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้
สำหรับตลาดหุ้นวันนี้ กลุ่มสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อได้ถูกแรงเทขายอย่างหนักจากแนวโน้มที่จะถูกผิดนัดชำระมากขึ้นเนื่องจากธุรกิจที่ขาดสภาพคล่อง
ในขณะที่หุ้นที่มีแรงซื้อเข้ามาก็คือธุรกิจโรงพยาบาลซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากการจัดจำหน่ายวัคซีนทางเลือก ในภาวะที่คนต้องการความเชื่อมั่นในเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน
สำหรับบริษัทที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดเช้าวันนี้
KBANK -3.85%
PTT -2.58%
PTTEP -3.38%
BDMS +2.55%
RCL +3.70%
References
-https://www.blockdit.com/posts/60e68dc2d50f6403b3706e20
-https://www.blockdit.com/posts/60e686dd7147e50c735182ec
-https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/947757
-https://www.settrade.com/settrade/home