Lenovo จากบริษัทไม่มีใครรู้จัก สู่แบรนด์คอมพิวเตอร์ ขายดีสุดในโลก /โดย ลงทุนแมน
ผู้ที่ครองส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC ได้มากที่สุดในโลกก็คือ “Lenovo” แบรนด์จากประเทศจีน ที่สามารถแซง HP และ Dell จากสหรัฐอเมริกา จนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2013 และยังคงรักษาตำแหน่งอันดับ 1 ได้จนถึงปัจจุบัน
Lenovo ยังถือเป็นบริษัทจีนที่ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกได้เป็นบริษัทแรก ๆ ก่อนบริษัทระดับโลกในยุคปัจจุบันอย่างเช่น Alibaba, Tencent, Huawei และ Xiaomi
แล้ว Lenovo ทำได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จากข้อมูลของ Gartner ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก จำนวน PC ที่ส่งมอบทั้งปี 2020 แบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลกได้มากที่สุดก็คือ
อันดับ 1 Lenovo จากจีน 24.9%
อันดับ 2 HP จากสหรัฐอเมริกา 21.2%
อันดับ 3 Dell จากสหรัฐอเมริกา 16.4%
อันดับ 4 Apple จากสหรัฐอเมริกา 8.2%
อันดับ 5 Asus จากไต้หวัน 6.0%
คำว่า PC ในความหมายของ Gartner จะแปลว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และแล็ปท็อป
แล้วก่อนจะกลายมาเป็นบริษัทที่ขาย PC ได้มากที่สุดในโลก Lenovo มีจุดเริ่มต้นอย่างไร ?
ย้อนกลับไปในปี 1984 หรือเมื่อ 37 ปีก่อน ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
“Liu Chuanzhi” เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ทำงานวิจัยอยู่ที่สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS)
ตอนนั้น คุณ Liu รู้สึกว่าสิ่งที่คิดค้น มักจะจบลงแค่ในห้องทดลองและไม่ได้ถูกต่อยอดนำไปใช้ประโยชน์กับคนหมู่มาก
คุณ Liu ในวัย 40 ปี จึงขอเงินทุนจาก CAS มาได้ 2 แสนหยวน หรือราว 1 ล้านบาท เพื่อเปิดบริษัทเกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยีเอง
หลังจากได้ทุนมาแล้ว เขาก็ได้รวบรวมทีมงานที่เป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรคอมพิวเตอร์ชาวจีนอีก 10 คนและได้ก่อตั้งบริษัท ในตอนแรกชื่อว่า “Legend”
ในเวลานั้น ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะประเทศจีนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากยุคเหมาเจ๋อตง ที่ระบบเศรษฐกิจถูกวางแผนโดยรัฐและไม่ค้าขายกับต่างประเทศ มาเป็นยุคเติ้งเสี่ยวผิง ที่เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจ
โดยให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้นและเริ่มค้าขายกับต่างประเทศ
แต่ Legend มีอุปสรรคสำคัญก็คือ ด้วยความที่ทีมงานมีพื้นฐานมาจากการเป็นนักวิจัย การเลือกประเภทสินค้าจึงไม่ค่อยตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งก็ได้ทำให้บริษัทต้องลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง
โดย Legend เริ่มจากการนำเข้าโทรทัศน์สีมาขายแต่ล้มเหลว
จึงเปลี่ยนมาพัฒนานาฬิกาข้อมือดิจิทัล แต่ก็ล้มเหลว
พอเปลี่ยนมาให้บริการตรวจสอบคุณภาพคอมพิวเตอร์ก่อนถึงมือลูกค้า ก็ยังคงล้มเหลว
จนกระทั่ง Legend หันมาลงทุนพัฒนาแผ่นวงจรพิมพ์ หรือ PCB เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของ IBM ที่นำเข้ามา ใช้งานเป็นภาษาจีนได้ ซึ่งก็ถือว่าได้ผลตอบรับดี
หลังจากนั้น Legend จึงได้เริ่มนำเข้าคอมพิวเตอร์จากต่างประเทศ แล้วขายระบบภาษาจีนพ่วงด้วย
ทำให้คอมพิวเตอร์ที่บริษัทนำเข้ามา ขายดีมาก ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนแรกที่สำคัญ เพราะ Legend ได้เริ่มเรียนรู้ความต้องการของตลาด จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ
ในเวลาต่อมา Legend จึงต่อยอดกิจการด้วยการไปตั้งบริษัทย่อยที่ฮ่องกง เพื่อผลิตและส่งออก PCB จนกระทั่งในปี 1990 บริษัทก็ได้เริ่มผลิตคอมพิวเตอร์แบรนด์ของตัวเองและสามารถนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้ในปี 1994
ผลิตภัณฑ์แรก ๆ ของ Legend ที่ประสบความสำเร็จคือเมนเฟรมคอมพิวเตอร์
ก่อนที่บริษัทจะเริ่มผลิตคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและแล็ปท็อปตามมา
จนในที่สุด Legend ก็มีรายได้หลักมาจากการขายคอมพิวเตอร์ที่เป็นแบรนด์ของตัวเองและได้กลายเป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์ที่มียอดขายมากที่สุดในประเทศจีน ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 43% ในปี 1998
ซึ่งนอกจากการวิจัยพัฒนาคอมพิวเตอร์แล้ว กลยุทธ์ที่ทำให้ Legend ครองตลาดจีนได้ก็คือการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ได้มากที่สุด รวมถึงการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนจัดจำหน่าย
หลังจากประสบความสำเร็จในประเทศแล้ว Legend จึงตั้งเป้าหมายใหญ่ขึ้น
ด้วยการก้าวสู่ตลาดโลก ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ที่ชื่อว่า “Yang Yuanqing”
คุณ Yang เริ่มงานที่ Legend ตั้งแต่ตอนที่บริษัทเปิดรับสมัครพนักงานครั้งแรกเมื่อปี 1988 โดยเริ่มจากตำแหน่งพนักงานขาย ซึ่งก็สร้างผลงานได้โดดเด่น จนไปเข้าตาประธานบริษัทอย่างคุณ Liu
คุณ Yang จึงได้เลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มธุรกิจ PC ในวัยเพียง 29 ปี
ก่อนที่จะรับตำแหน่ง CEO ในปี 2001 ขณะที่อายุ 37 ปี
เพื่อเตรียมก้าวสู่ตลาดโลก Legend จึงรีแบรนด์ในปี 2003 ด้วยการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Lenovo” ซึ่งมาจากคำว่า “Le” จากชื่อบริษัทเดิม Legend รวมกับคำว่า “Novo” ที่แปลว่า ใหม่ ในภาษาละติน
ต่อมาในปี 2004 บริษัท IBM ได้ประกาศขายธุรกิจคอมพิวเตอร์
ซึ่ง IBM เป็นบริษัทผู้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จากสหรัฐอเมริกา โดยนับเป็นบริษัทแรก ๆ ในโลกที่เริ่มขาย คอมพิวเตอร์จนมีแล็ปท็อป “ThinkPad” ที่โด่งดัง และครองส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์เป็นอันดับ 3 ของโลกในขณะนั้น เป็นรองจาก Dell และ HP
แต่สาเหตุสำคัญที่ IBM ตัดสินใจขายธุรกิจคอมพิวเตอร์ เพราะมองว่าเทคโนโลยีเครื่องคอมพิวเตอร์ ถูกคู่แข่งเลียนแบบได้ง่าย แถมยังแข่งกันตัดราคาขาย ทำให้อัตราการทำกำไรต่ำ บริษัทจึงอยากโฟกัสธุรกิจที่สร้างกำไรได้ดี อย่างพวกซอฟต์แวร์และกลุ่มให้บริการ มากกว่า
ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งที่ Dell ก็เสนอซื้อเช่นกัน แต่ IBM กลับเลือกขายธุรกิจคอมพิวเตอร์ให้กับ Lenovo ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นบริษัทจากประเทศจีนที่แทบไม่มีคนรู้จัก
โดย IBM ให้เหตุผลว่าตอนนั้นรัฐบาลจีนกำลังผลักดันบริษัทจากจีนให้ได้เติบโตในระดับโลก
IBM จึงตอบสนองความต้องการของรัฐบาลจีน เพื่อเปิดโอกาสให้ IBM เข้าไปบุกตลาดจีนได้ง่ายขึ้น
Lenovo ที่อยากขายสินค้าไปทั่วโลก จึงตกลงซื้อธุรกิจคอมพิวเตอร์ของ IBM ในปี 2005 ด้วยมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทแรก ๆ ของจีน ที่มีดีลการเข้าซื้อกิจการต่างประเทศ
นั่นจึงทำให้ Lenovo ได้โรงงานผลิตคอมพิวเตอร์ของ IBM ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ได้ช่องทางการจัดจำหน่ายและฐานลูกค้าทั่วโลก รวมถึงได้ทีมงานจาก IBM ซึ่งทำให้บริษัทมีพนักงานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ที่สำคัญก็คือ ไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่ม “Think” ที่ขายดีที่สุดของ IBM อย่าง ThinkPad ที่เป็นแล็ปท็อป และ ThinkCentre ที่เป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ก็จะเปลี่ยนโลโกจาก IBM มาเป็น Lenovo
และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Lenovo ซึ่งแต่เดิมแทบไม่มียอดขายในต่างประเทศเลย สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดจากบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก ขึ้นมามีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 3 ของโลก แทนที่ IBM ทันที
นอกจากนี้ การรวมพนักงานนานาชาติของทั้ง 2 บริษัท ทำให้ Lenovo ปรับโครงสร้างกรรมการบริษัทและทีมบริหารให้มีสัดส่วนชาวจีนและอเมริกันเท่า ๆ กัน
อีกมุมที่ Lenovo ให้ความสำคัญไม่แพ้การมีสินค้าขายไปทั่วโลก ก็คือการปรับวัฒนธรรมองค์กร ธรรมาภิบาล รวมถึงมาตรฐานบัญชี ให้มีความเป็นสากล
ยกตัวอย่างเช่น แม้ในตอนนั้นตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงจะกำหนดให้ส่งงบประมาณเพียงปีละ 2 ครั้ง แต่ CFO หญิงผู้วางรากฐานที่สำคัญให้ Lenovo อย่างคุณ Mary Ma เลือกให้บริษัทเปิดเผยงบประมาณปีละ 4 ครั้งเป็นรายไตรมาส ตามมาตรฐานสากล
จากการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ Lenovo จึงเปลี่ยนจากบริษัทท้องถิ่น มาเป็นบริษัทข้ามชาติ
ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทข้ามชาติแห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน Lenovo ก็ต้องเจอความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะผลจากวิกฤติการเงินโลกในปี 2008 ทำให้ผลประกอบการปี 2009 ของบริษัทพลิกเป็นขาดทุนมากถึง 7.4 พันล้านบาท
ในปี 2009 คุณ Yang ที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นประธานกรรมการบริษัทในปี 2004 ได้ขอกลับมารับตำแหน่งเป็น CEO อีกครั้งเพื่อนำบริษัทให้กลับมามีกำไร รวมถึงเร่งเพิ่มยอดขายและขยายส่วนแบ่งตลาด ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่คุณ Yang ขอเวลา 4 ปี แล้วค่อยวัดผล
คุณ Yang เริ่มจากการฟื้นฟูตลาดเดิมที่ทำกำไรได้ดีอยู่แล้ว นั่นก็คือ ฐานลูกค้าเดิมจาก IBM อย่าง PC สำหรับลูกค้าองค์กร และฐานลูกค้าเดิมของ Lenovo อย่างตลาดในประเทศจีน
ขณะเดียวกันก็บุกตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตแรงและมีจำนวนประชากรมาก อย่างเช่น อินเดีย เพื่อขยายฐานลูกค้าไม่ให้พึ่งพาชาวจีน มากเกินไป
ซึ่งกลยุทธ์เชิงรุกนี้ช่วยเพิ่มรายได้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องแลกกับการทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่ เพื่อทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และทำการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย
Lenovo จึงได้เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้นนอกเหนือจาก ThinkPad ที่เป็นแล็ปท็อปพรีเมียมราคาสูง อย่างเช่น IdeaPad ที่เป็นแล็ปท็อปราคาเข้าถึงง่าย รวมถึง Yoga ที่ฟังก์ชันการใช้งานเป็นได้ทั้งแล็ปท็อปและแท็บเล็ต
นอกจากนี้ Lenovo ได้เร่งขยายส่วนแบ่งตลาดจากการควบรวมกิจการมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
ปี 2011 Lenovo ซื้อบริษัทอิเล็กทรอนิกส์เยอรมันที่ชื่อ Medion ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Lenovo ในเยอรมนีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทันที และ Lenovo ยังตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท NEC ของญี่ปุ่น ทำให้กลายเป็นบริษัท PC ที่ใหญ่สุดในญี่ปุ่น
ปี 2012 Lenovo ซื้อบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่สุดในบราซิลที่ชื่อ CCE ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเจาะตลาดอเมริกาใต้
ปี 2018 Lenovo ซื้อกิจการคอมพิวเตอร์ของ Fujitsu ประเทศญี่ปุ่น
ผลลัพธ์จากแผนงานที่นำทีมโดยคุณ Yang หลังจากวิกฤติการเงินโลก ก็ถือว่าเกินความคาดหมาย
เพราะ Lenovo สามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากประเทศอื่น ๆ และลดสัดส่วนจากจีนลงได้ จาก 46% ในปี 2010 เหลือเพียง 23% ในปัจจุบัน โดยรายได้ของ Lenovo กว่า 80% ยังมาจากธุรกิจคอมพิวเตอร์
ในด้านของส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์ Lenovo สามารถชนะ Dell จนขึ้นมาเป็นที่ 2 ของโลกได้เป็นครั้งแรกในปี 2011 ก่อนที่จะแซง HP ขึ้นมาเป็นที่ 1 ของโลกในอีก 2 ปีถัดมา และยังครองอันดับ 1 มาจนถึงปัจจุบัน
ความสำเร็จของการปลุกปั้นธุรกิจคอมพิวเตอร์ของ Lenovo ก็ได้ทำให้ คุณ Yang ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน CEO ที่เก่งที่สุดในโลก รวมถึงผู้ก่อตั้งอย่างคุณ Liu ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “ไฮเทคฮีโรแห่งประเทศจีน”
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
คุณ Liu Chuanzhi ผู้ก่อตั้ง Lenovo มีลูก 2 คน
หนึ่งในนั้นคือลูกสาวที่ชื่อว่า Liu Qing หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า “Jean Liu”
หลังจากที่ Jean Liu จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และทำงานที่ Goldman Sachs มา 12 ปี
เธอก็ย้ายมารับตำแหน่งเป็น COO ให้กับบริษัทสตาร์ตอัปของจีนที่ชื่อ Didi Dache
เธอมีบทบาทสำคัญในการควบรวมกิจการระหว่าง Didi Dache กับบริษัทคู่แข่งอย่าง Kuaidi Dache ในปี 2015 ที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อใหม่เป็น “Didi Chuxing” แอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่และส่งอาหารอันดับ 1 ของจีน
ปัจจุบัน เธอดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ซึ่งเป็นผู้นำคนสำคัญของ Didi Chuxing ร่วมกับผู้ก่อตั้งอย่างคุณ Cheng Wei ที่ดำรงตำแหน่งเป็น CEO และประธานกรรมการ จนถูกจัดอันดับจากนิตยสาร Time ให้เป็น 1 ใน 100 คน ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกเมื่อปี 2017
ซึ่งก็เรียกได้ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.economist.com/business/2013/01/12/from-guard-shack-to-global-giant
-https://www.economist.com/business/2001/09/13/legend-in-the-making
-https://www.ft.com/content/2bb25562-4ae0-11d9-a0ca-00000e2511c8
-https://www.cnbc.com/2016/12/01/china-based-lenovos-ride-to-top-spot-of-pc-business.html
-https://www.marketwatch.com/story/why-ibm-selling-server-unit-to-lenovo-is-bad-news-for-hp-1390500250
-https://www.wsj.com/articles/the-worlds-largest-pc-maker-is-no-longer-a-bargain-11550742853
-https://www.theverge.com/2012/1/3/2677691/ex-ibm-ceo-revisits-selling-pc-business-samuel-palmisano
-https://en.wikipedia.org/wiki/Lenovo
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/Market_share_of_personal_computer_vendors
-https://investor.lenovo.com/en/financial/results.php
同時也有92部Youtube影片,追蹤數超過36萬的網紅Vy Vo Xuan,也在其Youtube影片中提到,#charger #redminote10pro #note10prochina Xiaomi Redmi Note 10 Pro 5G (China) charging from 0 to 100 percent ------------------------------------------...
「xiaomi china」的推薦目錄:
- 關於xiaomi china 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於xiaomi china 在 Facebook 的最佳貼文
- 關於xiaomi china 在 ปกป้องรีวิว - PokPong Review Facebook 的最佳貼文
- 關於xiaomi china 在 Vy Vo Xuan Youtube 的最佳貼文
- 關於xiaomi china 在 Vy Vo Xuan Youtube 的最佳解答
- 關於xiaomi china 在 Vy Vo Xuan Youtube 的最佳解答
- 關於xiaomi china 在 Xiaomi (China ROM) Users - Facebook 的評價
xiaomi china 在 Facebook 的最佳貼文
หุ่นยนต์ทำความสะอาด Xiaomi Mijia Robot Vacuum Cleaner G1 รุ่นที่ปัดกวาด, ดูดฝุ่น และเช็ดพื้นได้ในตัว ใช้งานได้ทั้งผ่านแอปและไม่ใช้ ในราคา 3,990 บาท ทำอะไรได้บ้าง???
หลังจากที่วันก่อนแกะกล่องมา Mijia Robot G1 ก็ใช้เวลาทดลองใช้งานต่อเนื่องมา 2 วันครึ่ง (เปิดทำความสะอาด 10 รอบ+) เพื่อให้ได้ผลที่นิ่งจริง ๆ แล้วค่อยมาเล่าให้ฟังกัน...
สำหรับหุ่นตัวนี้ ตอนแกะออกมาค่อนข้างประทับใจ เพราะมันมีขนาด และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดในตัวมาทั้งข้างนอกและข้างในเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับตัวราคาหลักหมื่นได้เลย ไม่ว่าจะถังเก็บฝุ่น, แท่นชาร์จ, ล้อที่ยกระดับปีนได้สูง 1 นิ้ว, ใบพัดปัดฝุ่น 2 ข้างที่ให้เยอะกว่าปกติ, รวมไปถึงผ้าเช็ดพื้นที่ใหญ่มาก...
การใช้งาน ถ้าไม่เซ็ตผ่านแอปก็ง่ายเลย แค่ประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกัน เอาถังใส่น้ำไปเติม เอา Dock ไปเสียบปลั๊ก กดปุ่ม power 1 ที (กดยาว 3 วินาทีจะเปิด/ปิดเครื่อง) ก็จะกวาดและและเช็ดพื้นจนเสร็จทั้งห้อง และกลับสู่ Dock เพื่อชาร์จได้ ไม่ต้องพึ่ง Wifi อะไรทั้งนั้น...
หรือจะใช้งานผ่านแอป ก็ต้องมีแอป Mi Home (เซ็ต Region ไว้เป็น China Mainland) และสแกน QR บทคู่มือที่อยู่ในกล่องก็จะเชื่อมต่อกับ Wifi บ้าน (รองรับแค่ 2.4G ส่วน 5G จะเชื่อมต่อไม่ได้) และก็พร้อมใช้งาน, อัพเดทเฟิร์มแวร์, สั่งค่าแรงดูด 4 ระดับ, ปรับระดับความเปียกของผ้าเช็ดพื้นได้ 3 ระดับ รวมถึงรายงานปัญหาและผลการทำงานผ่านแอป Mi Home ผ่านทั้งแอปและ Notifications ได้เลย...
ทีนี้เท่าที่ใช้งานมาตลอดมากกว่า 10 ครั้งพบว่า ถ้าเราตั้งหุ่น หรือ Docking ให้ขนานไปกับตัวโครงห้อง แนวสี่เหลี่ยม หุ่นก็จะทำงานเป็นระเบียบและจบงานได้รวดเร็วกว่า เพราะจะกวาด, ดูดฝุ่น และเช็ดพื้น เป็นแนวไปและกลับจากจุดที่ออกมา จนเสร็จทั้งห้องได้เลย แต่ถ้าตั้งเอียง ๆ มันก็จะตรงออกมาทำงานไม่ตรงตามแนวผนังห้อง ทำให้เสียเวลาการเดินทางแบบเฉียงไปชนผนังห้องและเดินกลับแบบเฉียงวนไปเรื่อย ๆ ใช้เวลานานพอสมควร...
ตัวหุ่นเอง มีเพียงเซนเซอร์อินฟราเรด ที่เห็นได้ชัดเลยคือ ผนังไม่ชน, ทางต่างระดับที่สูงเช่นขอบบันไดไม่มีตก (ทำความสะอาดได้จนสุดขอบ) แต่ถ้าเป็นขาโต๊ะ, ชั้นวางของ, เตียง เจ้าหุ่นนี่พุ่งชนหมดเลย!!! (อันนี้เลยทำให้เห็นเลยว่าหุ่นราคาหลักหมื่นที่มี LiDAR ทำงานมีระบบแบบแผนกว่า) คือถ้ามันเจอขาโต๊ะหรือของที่ขวางไม่เป็นไปตามแนวผนัง มันจะใช้วิธีชน (แรงบ้างเบาบ้าง) และเลือกที่จะหาทางหลบหรือเลี้ยว หรือวิเคราะห์ว่านั่นเป็นขาโต๊ะหรือเปล่า เพื่อไปต่อ...
ด้วยความไล่ชนไปเรื่อยกับสิ่งกีดขวางนอกจากผนังและที่สูงเลยทำให้ หุ่น G1 จะเสียเวลาทำความสะอาดนานกว่าพวกรุ่นราคาแพงที่มี LiDAR เกือบเท่าตัว ดังนั้น ห้องที่มีของรก ๆ หรือแปลนห้องซับซ้อน ควรเคลียร์พื้นห้องให้โล่ง เอาของขึ้นวางบนโต๊ะ บนชั้นได้รวมถึงเก้าอี้เลื่อนต่าง ๆ เอาไปไว้มุมห้องจะช่วยประหยัดเวลาทำความสะอาดได้เยอะมาก ๆ เลยครับ...
พวกสายไฟต่าง ๆ หรือหนังสือ สามารถปีนได้จริง ตามใต้โต๊ะคอมที่มีสายไฟ ถ้าไปติดก็สามารถออกมาเองได้ เพียงแต่ว่าจะเสียเวลาหมุนหาทางออกนิดนึง ทางทีดีถ้าไม่อยากให้หุ่นเสียเวลาตรงนี้ ถ้าเก็บสายไฟได้ก็จะดี ส่วนพวกสาย USB ถ้าสั้น ๆ เล็ก ๆ บาง ๆ อาจจะถูกแปรงกวาดฝุ่นดูดเข้าไปพันข้างในได้ครับ...
ตัวแปรงปัดฝุ่น 2 ข้าง เพิ่มจากหุ่นทั่วไปหรือแม้แต่รุ่นสูง ๆ ที่มีแค่ข้างเดียว ช่วยให้การปัดฝุ่นทำได้ดีขึ้น ทำความสะอาดรอบแรกก็เห็นผล รอบที่ 2 ฝุ่นก็เหลือน้อยมาก ๆ ในห้องแล้วครับ...
ตัวถังน้ำสำหรับเช็ดพื้น เท่าที่ใช้งานมา ตอนแรกปรับระดับ 2 พบว่า พื้นหมาดไปหน่อย ถ้าเปิดแอร์พื้นไม้จะชื้น ๆ เหมาะสำหรับทำความสะอาดรอบแรก หลังจากที่ไม่ได้ทำความสะอาดห้องมานาน ถ้าทำความสะอาดทุกวัน ใช้แค่ระดับ 1 ก็เหลือเฟือ ตัวถังน้ำ เติมครั้งนึงเช็ดพื้นได้ราว ๆ 1 ชั่วโมงครึ่งต่อเนื่องจนกว่าน้ำจะเกลี้ยงถัง สำหรับพื้นคอนกรีตเปลือยที่น้ำแห้งไวใช้น้ำระดับ 3 ได้ จะเช็ดเอาฝุ่นออกได้ดีกว่า เพราะตัวพื้นเองจะดูดน้ำจากผ้าทำให้ผ้าแห้งเร็วเกินไปนั่นเอง...
ประสิทธิภาพการดูดฝุ่นทำได้ดีไม่แพ้รุ่นใหญ่ ๆ เศษผม, เศษปูน, สีร่อนจากผนัง, กระดาษ, หนังยาง, เทปกาวที่เกิดจากการแกะของดิลิเวอรี สามารถดูดมาเก็บในถังฝุ่นได้หมด แต่ถ้าเจอกระดาษแผ่นใหญ่, เชือกรัดของ, บับเบิลแผ่นกลาง ๆ ก็ทำให้ไปติดที่ตัวแปรงกวาดฝุ่นได้เช่นกัน...
เส้นผมไม่มีอาการพันใบพัดเลย แต่มีไปติดที่แปรงกวาดฝุ่นตัวกลางบ้างแต่ก็น้อยครับ...
ถังเก็บฝุ่น ผมชอบมาก ที่มีฟิลเตอร์ 3 ชั้น ปกติมีชั้นเดียว แล้วสิ่งนึงที่เสียเวลาคือต้องมาคอยเอาแปรงสีฟันเก่าปัดซอกฟิลเตอร์ออกเพื่อไม่ให้ฝุ่นติด แต่พอมี 3 ชั้น แค่เอานิ้วเขี่ยหรือเคาะออก ก็หลุดจากชั้นแรกแล้ว ไปไม่ถึงชั้นที่สามที่เป็นแนวซิกแซกเลย ประหยัดเวลามาก อันนี้ชื่นชมเลยครับ...
การใช้งาน เท่าที่ใช้งานจนนิ่งแล้วเปิดแรงดูดระดับกลาง และน้ำเช็ดพื้นระดับ 1 จะเสียพลังงานประมาณ 5% ต่อ เวลา 10 นาที ซึ่งนั่นหมายถึงว่า เราสามารถทำความสะอาดต่อเนื่องได้นานราว ๆ 2-เกือบ 3 ชั่วโมงได้เลย ส่วนการชาร์จก็พบว่าชาร์จไวมาก ราว ๆ 1 นาทีแบตก็ขึ้น 1% ไปเรื่อย ๆ หรืออาจเร็วกว่านั้นกรณีที่แบตเหลือต่ำกว่า 30%...
ข้อสังเกต คือแม้หุ่นจะมีข้อดีต่าง ๆ ของเรื่องแรงดูด, การปีนสิ่งกีดขวาง, การกันตก, การปัดกวาดเช็ดพื้นต่าง ๆ แต่ด้วยความที่หุ่นไม่มีเซนเซอร์คำนวนขนาดห้องตอนเบื้องต้น ทำให้การทำงานของหุ่นนั้น ไม่ได้วางแผนก่อน ใช้วิธีด้นสดไปเรื่อย ๆ และสร้างพื้นที่ไปเรื่อย ๆ จนครบไม่มีที่ไปก็จะนับว่าทำความสะอาดเสร็จ ทำให้ใช้เวลาการทำงานที่ค่อนข้างนาน กว่าหุ่นที่มี LiDAR เกือบ 2-3 เท่า แต่ขณะเดียวกัน คนที่ชอบให้หุ่นกวาดเช็ดพื้นซ้ำ ๆ น่าจะชอบ เพราะมันจะทำงานวนไปวนมานานกว่าปกติ ก็ได้เก็บกวาดไปด้วยในตัวให้สะอาดขึ้นไปด้วย...
สรุปการใช้งานแล้ว ค่อนข้างพอใจกับงบ 3,990 บาท ทำได้ดีกว่าหุ่น Mi ที่ออกมาเมื่อ 2 ปีก่อนมาก ๆ (แถมแพงกว่าด้วยเกินเท่าตัว) การกวาดดูดฝุ่นเช็ดพื้นห้องทำได้พอใจมาก ๆ สะอาดดีเยี่ยมทุกซอกมุม ขาโต๊ะ ตู้เตียง มุมห้องทำได้ดีหมด ไม่มีตกบันได มีการชนขาโต๊ะตึงตังพอสมควร ใช้งานผ่านแอปอาจจะต้องเซ็ตเป็น China แต่ถ้าไม่ใช้แอปและทำความสะอาดทั้งห้องก็ไม่ต้องต่อก็ได้ กดปุ่มพาวเวอร์ทีเดียวทำความสะอาดทั้งห้องเลย รวม ๆ กับงบเท่านี้ก็ถือว่าทำได้คุ้มค่ามาก ๆ ครับ ส่วนถ้ามีงบเกินหมื่นห้าขึ้นไปค่อยไปเล่นตัวสูงทีเดียวจะจบกว่านี้เยอะเช่นกัน...
ตอนนี้หุ่น G1 มีขายแล้วนะที่ Youpin Official Store : https://shp.ee/ydck8ny มีคูปองให้โหลดที่หน้าร้านก่อนเลย...
ใน Shopee : https://shp.ee/bak5iiq 3,990 บาท...
ใน Lazada : https://bit.ly/3kRQ50E 3,990 บาท...
ใน JD Central : https://bit.ly/3y2a5Bv 3,990 บาท...
แล้ววันที่ 27 นี้ จะมีคูปองอีกชุด โหลดจาก https://shp.ee/cu5muyg เตรียมไว้ (ลด 100 เมื่อซื้อ 1,500 และ ลด 300 เมื่อซื้อ 4,000) ใช้ได้เมื่อเริ่มวันที่ 27 พอดีครับ...
*Disclosure: เนื้อหานี้ ได้รับการสนับสนุนจาก Youpin Official Store
xiaomi china 在 ปกป้องรีวิว - PokPong Review Facebook 的最佳貼文
มองมุมไหนก็น่ารัก มินิมอลไปหมด
#ปกป้องรีวิว เตาอบสุดคิ้วของ Xiaomi ที่หน้าตาไปละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าเตาอบสุดเทพ Balmuda Toaster แต่ราคาถูกดว่ากันถึง 4-5 เท่า นั่นก็คือเจ้า Mi Smart Steam Oven นั่นเองงงงงงง!
จะเล่าตั้งแต่เปิดกล่องเลยนะครับ ก่อนอื่นคือประทับใจวัสดุ และ การประกอบมาก เอามือลูบๆผิวเตาอบแล้วมันเนียนนิ้วอ่ะครับ 555 ราคาพันนิดๆ แต่ไม่ก๊องแก๊งเลย
แกะกล่องออกมา เราจะได้หัวปลั๊กแบบจีน แต่เค้ามีหัวแปลงและคู่มือภาษาไทยมาให้ครับ สะดวกมากๆ นอกจากนั้นยังแถมตะแกรง ถาดอบขนม และที่คีบมาให้ด้วย
หลังจากเสียบปลั๊ก ไฟจะติดขึ้นมาพร้อมสัญลักษณ์ Wifi กระพริบรอการเชื่อมต่อ เราก็โหลดแอป Mi home มาได้เลย พอเข้าแอป ให้กดเปลี่ยน ภูมิภาคไปที่ China Mainland ด้วยนะครับ ถ้าเป็น Thailand มันจะหาเจ้าเตาอบไม่เจอ และต่อไวไฟด้วยความถี่ 2.4 GHz นะครับ
พอเชื่อมต่อเรียบร้อย เราจะสามารถควบคุมเจ้าเตาอบผ่านมือถือได้เลย โดยเราสามารถกำหนดสูตรอาหาร สูตรขนม เป็นเมนูโปรด ไว้เลือกทำในครั้งต่อๆไปได้ด้วย ไม่ต้องเริ่มตั้งค่ากันใหม่
ถ้าไม่ใช้งานผ่านมือถือ เราสามารถใช้ปุ่มที่หน้าเตาอบเลือกโปรแกรม เวลา หรืออุณหภูมิในการอบได้เลยครับ แต่ถ้าแรกๆยังไม่ชิน แนะนำใช้ในมือถือจะง่ายกว่าครับ
ข้อดีคือเราสามารถเลือกอุณภูมิในการอบได้ละเอียดเป็นหลักหน่วยเลย เช่น 189 C° หรือ 174 C° และมีโหมดอบโดยการใช้ไอน้ำช่วย เพื่อไม่ให้ขนมปังกระด้างเกินไป
ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเด่นของเครื่องนี้เลยครับ เพราะหลังจากที่ป้องไปดูหลายๆคนเทสมา เค้าบอกว่าหลับตากินนี่แยกไม่ออกเลยว่าอันไหนเป็นเตาอบหลักหมื่น หรือเตาอบหลักพัน รอบนี้เค้าทำมาได้ดีจริงๆครับ สำหรับ Xiaomi
เวลาจะใส่น้ำอบก็เอาฝาด้านบนขวามือไปตวงน้ำ มีขนาด 5 ml ใส่แค่นั้นพอ ฝาเดียว แต่ว่า ถ้าโหมดไหนไม่ต้องใช้น้ำก็ไม่ต้องใส่นะครับ มันจะมีบอกในแอปเลยว่าจะทำไอน้ำไหม
สรุปเลยคือ หากใครมองหาเตาอบเล็กๆน่ารักอยู่ จัดได้เลย คุ้มเงินมาก ใช้งานก็ง่าย ได้มาในราคา 1300 นิดๆครับ แฟนอยากได้เองนะครับ ไม่มีสปอนเซอร์ รีวิวตามความรู้สึกจริงๆแน่นอน 😆
ใครสนใจก็ซื้อที่นี่ได้เลยครับ:
https://bit.ly/3wPnwTL
จุดสังเกตคือเมนูที่หน้าเตาอบเราจะได้เป็นภาษาจีน แต่ในแอปเราเลือกเป็น Eng หรือ TH ได้นะ 😁
จบการรีวิวครับ🙏
xiaomi china 在 Vy Vo Xuan Youtube 的最佳貼文
#charger #redminote10pro #note10prochina
Xiaomi Redmi Note 10 Pro 5G (China) charging from 0 to 100 percent
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
✔️ My Fanpage: https://www.facebook.com/vyvoxuan.channel
xiaomi china 在 Vy Vo Xuan Youtube 的最佳解答
#comparemobile #note10pro_5g #pocof3
Xiaomi Redmi Note 10 Pro 5G vs Poco F3 | SpeedTest and Camera comparison
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
✔️ My Fanpage: https://www.facebook.com/vyvoxuan.channel
xiaomi china 在 Vy Vo Xuan Youtube 的最佳解答
#unboxing #redminote10pro #note10pro_5g
Xiaomi Redmi Note 10 Pro 5G unboxing, Dimensity 1100, camera, antutu
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
✔️ My Fanpage: https://www.facebook.com/vyvoxuan.channel
xiaomi china 在 Xiaomi (China ROM) Users - Facebook 的推薦與評價
This group is created for any Xiaomi User to interact with other users and be helped on any questions, problems or issues about xiaomi phones... ... <看更多>