วิเคราะห์การยกเลิกรัฐธรรมนูญ : กรณีศึกษาการยกเลิกรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในอดีต-ปัจจุบัน
สิทธิกร ศักดิ์แสง*
จากที่ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าในตำราหลายเรื่อด้วยกันและได้เขียนในบทความและหนังสือ เอกสารคำสอน ก็ยังพบว่ายังมีความบกพร่องในการสื่อและการอธิบายของความกระจ่างชัดในเรื่องของการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ทำให้ผู้เขียนมีความมุ่งมั่นที่จะทำการศึกษาค้นคว้าหาข้อสรุปเกี่ยวกับการยกเลิกรัฐธรรมนูญเพื่อทำความเข้าใจให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งพิจารณาศึกษาพบว่าการยกเลิกรัฐธรรมนูญนั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการยกเลิกรัฐธรรมนูญตามวิถีทางรัฐธรรมนูญกับการยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนมุ่งหมายที่จะศึกษาวิเคราะห์การยกเลิกรัฐธรรมนูญแต่ละกรณีแล้วจะทำการวิเคราะห์ต่อมาว่าประเทศไทยได้มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการใดบ้างในรัฐธรรมนูญตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ดังนี้
วิเคราะห์หลักทั่วไปในการยกเลิกรัฐธรรมนูญ
เมื่อพิจารณาถึงหลักทั่วไปการยกเลิกรัฐธรรมนูญ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ หมายถึง การกระทำให้รัฐธรรมนูญนั้นสิ้นสุดไม่ให้นำมาบังคับใช้อีกต่อไปด้วยวิธีการ 2 วิธีการ กล่าวคือ วิธีการที่ 1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ ด้วยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกับด้วยวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับเดิมกับวิธีการที่ 2 การยกยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการปฏิวัติกับการยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยการรัฐประหาร ดังนี้
1.การยกเลิกรัฐธรรมนูญตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ
การยกเลิกรัฐธรรมนูญตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำให้รัฐธรรมนูญนั้นสิ้นสุดด้วยวิถีทางรัฐธรรมนูญ ที่รัฐธรรมนูญมอบให้มีการกระทำในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกับมอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ขึ้นมาแทนรัฐธรรมนูญฉบับเดิม แยกอธิบายได้ดังนี้
1.1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (Revision) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญไม่ว่าโดยการตัดข้อความเดิมออก การแก้ไขถ้อยคำหรือข้อความเดิมที่มีอยู่แล้วหรือโดยการตัดข้อความเดิมออกหรือโดยการเพิ่มเติมข้อความใหม่เข้าไป ซึ่งอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า “อำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็น “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ส่วนองค์กรที่ลงมือแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นถือว่ามี “อำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญ” ซึ่งการที่ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ได้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะการมีรัฐธรรมนูญก็เหมือนกับกฎหมายอื่นโดยทั่วไปที่อาจล้าสมัย หรืออาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองในเวลาต่อมา หรือการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ก็เท่ากับเป็นการระบายความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของประชาชนในแต่ละสมัยให้ปรากฏออกมาแทนที่จะอัดอั้นไว้ หากไม่ยอมให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ได้เมื่อประชาชนเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง อาจเป็นเหตุให้นำไปสู่การปฏิวัติ (Revolution) หรือรัฐประหาร (Coup d’ Etate) เพื่อล้มเลิกรัฐธรรมนูญนั้น ด้วยเหตุนี้เองจึงมีความจำเป็นที่ต้องให้มี การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ) ได้
1.1.1 วิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีข้อพิจารณาวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อยู่ 2 ลักษณะ คือ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอย่างง่ายกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอย่างยาก แต่ในที่นี้จะขอวิเคราะห์อธิบายรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขยาก ซึ่งมีวิธีการแก้ไขการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งฉบับกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญบางส่วนบางมาตรา ซึ่งประเทศต่างๆ ได้มีกระบวนการหรือกำหนดให้มีวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งฉบับกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญบางส่วนหรือบางมาตรา และจะเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศที่กำหนดให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอย่างยาก ซึ่งในทางทฤษฎีถือว่าเป็นอำนาจสำคัญในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญที่รัฐธรรมนูญมอบให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่า “อำนาจที่ได้รับมอบจากรัฐธรรมนูญ” ดังนี้
1.1.1.1 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
การแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในทางกฎหมายหรือในทางทฤษฎีก็คือ เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ เช่นกัน กล่าวคือ เมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนฉบับฉบับเก่า เช่น อาจจะมอบให้สภานิติบัญญัติเป็นผู้ดำเนินการแก้ไข หรือตั้งองค์กรพิเศษ เช่น สภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาดำเนินการแก้ไข หรือ อาจประชาชนผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
1.1.1.2 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญบางส่วนบางมาตรา
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญบางส่วนบางมาตรา รัฐธรรมนูญเกือบทุกประเทศจะกำหนดให้มีกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในส่วนที่เห็นว่าล้าสมัยหรือมาตราที่ไม่สามารถจะรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ หรืออาจจะไม่เหมาะสมในกระบวนการบังคับใช้ ก็จะสามารถกำหนดให้ เช่น กำหนดรัฐสภา หรือ องค์กรพิเศษ หรือ ประชาชน ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้
1.1.2 กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
การควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อาจกระกระทำได้ตามกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้
1.2.1.1 ผู้มีสิทธิเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ ผู้มีสิทธิเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ส่วนมากจะเป็นผู้ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายให้รัฐสภา (สภานิติบัญญัติ) พิจารณา ซึ่งได้แก่ ประมุขของรัฐ สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และประชาชน ดังนี้
1.การให้สิทธิประมุขของรัฐเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิประมุขของรัฐเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศอินเดีย การเสนอขอแก้ไขของประมุขของรัฐจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภานิติบัญญัติจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นต้น
2. การให้สิทธิสมาชิกรัฐสภาเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิสมาชิกรัฐสภา (สมาชิกสภานิติบัญญัติ) เป็นผู้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ต้องมีสมาชิกจำนวนหนึ่งรับรองด้วย เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศบัลแกเรีย กำหนดให้มีสมาชิกรัฐสภาจำนวน 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้รับรอง รัฐธรรมนูญของประเทศอียิปต์กำหนดให้มีสมาชิกรัฐสภาจำนวน 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เป็นต้น
3. การให้สิทธิคณะรัฐมนตรีเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิคณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น
4. การให้สิทธิประชาชนเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิประชาชน เป็นผู้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศสวิสเซอร์แลนด์กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จำนวน 100,000 คนขึ้นไป หรือในประเทศเยอรมนีให้สิทธิแก่ประชาชนเป็นผู้เข้าชื่อเสนอแก้ไขเปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญนั้น ในแต่ละมลรัฐของประเทศเยอรมนีนั้นจะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยคำหรือเพิ่มเติมถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ จะต้องเป็นการแก้ไขถ้อยคำโดยชัดแจ้ง ซึ่งการให้สิทธิแก่ประชาชนให้เสนอขอแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญแห่งมลรัฐโดยวิธีการเสนอร่างกฎหมายของประชาชน (Initiative Process) ได้มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของหลายมลรัฐ อาทิเช่น มลรัฐBrandenburg มลรัฐThueringen มลรัฐSachsen มลรัฐNiedersachsen และมลรัฐSchteswig-Holstein เป็นต้น โดยมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญ คือ จะต้องมีประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งร่วมกัน เข้าชื่อริเริ่มเสนอร่างกฎหมายตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละมลรัฐกำหนด เป็นต้น
1.2.2.2 ผู้ดำเนินการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
เมื่อพิจารณาศึกษาจะพบว่าในประเทศต่างได้กำหนดให้ผู้ดำเนินการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ ส่วนมากกำหนดให้รัฐสภา (ฝายนิติบัญญัติ) เป็นผู้ดำเนินการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตามบางประเทศก็ยังกำหนดให้ประชาชนเป็นผู้เสนอแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1. รัฐสภาเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนได้เลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ถ้าหากเป็นระบบสองสภา (สภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภา) สภาทั้งสองจะประชุมร่วมกันแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐ) จะต้องนำไปขอความเห็นชอบจากรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ของทุกมลรัฐ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากทุกมลรัฐแล้วอาจดำเนินการด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง คือ ให้รัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบหรือเมื่อรัฐสภาของมลรัฐ (ฝ่ายนิติบัญญัติของมลรัฐ) จำนวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ร้องขอ ให้รัฐสภาจัดตั้งสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ หรือเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ดำเนินไปเสร็จแล้วต้องขอให้ รัฐสภาของมลรัฐ (ฝ่ายนิติบัญญัติของมลรัฐ) จะจัดตั้งขึ้นลงมติให้ความเห็นชอบมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ในประเทศฝรั่งเศส ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับ และถ้าประธานาธิบดีเห็นสมควร อาจขอให้ประชาชนออกเสียงแสดงประชามติว่าเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ได้
ข้อสังเกต การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆนั้นจะไม่นิยมจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือคณะกรรมการพิเศษเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเหมือนกับการจัดทำรัฐธรรมนูญ แต่นิยมมอบให้รัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) เป็นผู้ดำเนินการแก้ไข
2. การให้ประมุขของรัฐเข้ามีส่วนร่วมในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งการให้ประมุขของรัฐเข้ามีส่วนร่วมในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หน้าที่ของประมุขของรัฐในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ก็คือ การลงนามในรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายประเทศได้ให้อำนาจประมุขของรัฐที่จะลงนามในรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ได้ เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศสได้ให้อำนาจประมุขของรัฐที่จะวินิจฉัยว่าสมควรให้ประชาชนลงคะแนนเสียงแสดงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอหรือจะส่งร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นให้รัฐสภาพิจารณาใหม่ก็ได้ เป็นต้น
3.การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กระทำในลักษณะของการให้สิทธิประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบด้วยในร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งฉบับหรือบางส่วน ดังนี้
1) การเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ (Total Revision) เช่น การเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยยกเลิกฉบับเก่าและยกร่างฉบับใหม่ซึ่งในขั้นตอนนี้ข้อเสนอของประชาชนในการขอแก้ไขเพิ่มเติมจะถูกส่งไปยังประชาชนเพื่อให้มีการออกเสียงประชามติในระดับชาติในเบื้องต้นก่อน ว่าเห็นสมควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามคำขอดังกล่าวหรือไม่ หากเสียงข้างมากของประชาชนลงมติเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว และเมื่อได้ทำการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นโดยสมาชิกรัฐสภาที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่แล้ว ก่อนที่จะมีการประกาศใช้จะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาให้ประชาชนทั้งประเทศออกเสียงประชามติ เพื่อให้ความเห็นชอบโดยเสียงข้างมากของประชาชน เป็นต้น
2) การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพียงบางส่วน (Partial Revision) การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพียงบางส่วนโดยประชาชนสามารถที่จะริเริ่มเสนอได้ 2 รูปแบบ คือ การริเริ่มเสนอแก้ไขโดยจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและการริเริ่มเสนอแก้ไขโดยเสนอเพียงหลักการๆทั่วไป ดังนี้
(1) การริเริ่มเสนอแก้ไขโดยจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ผู้ริเริ่มก่อการจะต้องจะนำเสนอเป็นบทบัญญัติที่มีความชัดเจนในส่วนของรัฐธรรมนูญที่ต้องการแก้ไขเพื่อให้รัฐสภาพิจารณา โดยในขั้นตอนนี้สภาไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาใดๆในร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเสนอนั้นได้ แต่สภาสามารถที่จะเสนอทางเลือกอื่นเพื่อให้ประชาชนพิจารณาควบคู่กันในการออกเสียงประชามติในเบื้องต้นได้ หากปรากฏว่าผลของการลงประชามติเสียงข้างมากเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะตกไป และรัฐสภาก็มีหน้าที่จะต้องดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบนั้น และจะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาแก้ไขเสร็จแล้วนั้นไปให้ประชาชนทั้งประเทศออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง (Final Vote) ซึ่งในขั้นตอนนี้กฎหมายกำหนดให้จะต้องได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบ อาจจะเห็นชอบแบบเสียงข้างมากกึ่งหนึ่งหรือแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด (Double majority)หรือเห็นชอบแบบเสียงข้างมากแบบธรรมดา ก็ได้แล้วแต่ละประเทศกำหนด
(2) การริเริ่มขอเสนอแก้ไขเพิ่มเติมโดยเสนอเพียงหลักการทั่วไป ผู้เริ่มก่อการไม่จำเป็นจะต้องจัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาเช่นเดียวกันกับกรณีแรก แต่ผู้ริเริ่มก่อการสามารถที่จะเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในลักษณะของข้อเสนอทั่วไป (General proposition) เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาได้ กล่าวคือ เป็นการบรรยายสิ่งที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงและนำเสนอต่อสภาเท่านั้น และเมื่อรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบกับข้อเสนอทั่วไปของประชาชน รัฐสภาก็มีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นให้เป็นไปตามข้อเสนอของประชาชน และเมื่อยกร่างเสร็จแล้วก่อนที่จะมีการประกาศใช้จะต้องนำไปให้ประชาชนทั้งประเทศทำการออกเสียงประชามติยืนยันอีกครั้งหนึ่ง (Final Vote) โดยจะต้องได้รับคะแนนเสียงให้ความเห็นชอบอาจจะให้ความเห็นชอบแบบเสียงข้างมากกึ่งหนึ่งหรือแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด (Double majority) หรือให้ความเห็นชอบแบบเสียงข้างมากธรรมดาก็ได้แล้วแต่ละประเทศกำหนด
1.1.3 ขั้นตอนกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ขั้นตอนกระบวนการการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยส่วนมากรัฐธรรมนูญเกือบทุกประเทศมอบให้รัฐสภาเป็นผู้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งในหัวนี้จะกล่าวถึงขั้นตอนและกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา จะต้องมีสาระสำคัญของขั้นตอนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย 3 วาระ ดังนี้
1. วาระที่ 1 รับร่างหลักการของร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกล่าวคือ การให้ความเห็นชอบรับหลักการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และมีการเสนอบุคคล เพื่อดำเนินการยกร่างเพื่อเสนอเสนอให้รัฐสภาพิจารณาต่อไป ในวาระที่ 2
2. วาระที่ 2 การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ได้มีการจัดทำร่างในวาระที่ 1 ซึ่งถือเป็นการพิจารณาเรียงมาตราในการลงมติการให้ความเห็นชอบกับการยกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของบุคคลที่ได้ตั้งขึ้น เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาลงมติเห็นชอบเป็นรายมาตรา
3. วาระที่ 3 การลงมติการให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อส่งให้ประมุขของรัฐประกาศใช้บังคับต่อไป กล่าวคือ เมื่อรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เสร็จสิ้นโดยการลงมติเห็นชอบ ให้นำเสนอต่อประมุขของรัฐลงนามประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป
การลงมติทั้ง 3 กรณี ดังกล่าวข้างต้น จะต้องเป็นการลงมติที่มีจำนวนคะแนนเสียงมากเป็นพิเศษ เช่น 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกที่มาประชุม หรือ 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสภาเดียวหรือสองสภา แต่บางประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลีย และประเทศอิตาลี กำหนดว่าจะต้องได้คะแนนเสียงข้างมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เป็นต้น
1.1.4 ระยะเวลาแก้ไขเพิ่มเติม
ระยะเวลาแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีลักษณะเป็นการแก้ไขยาก บางประเทศได้กำหนดให้การแก้ไขต้องกระทำในระยะเวลานานพอสมควร เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศเบลเยี่ยม รัฐธรรมนูญของประเทศเนเธอร์แลนด์ และรัฐธรรมนูญของประเทศกรีซ ได้บัญญัติให้ยุบรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ซึ่งทำหน้าที่แก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว เมื่อประชาชนได้เลือกสมาชิกชุดใหม่ประกอบเป็นรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) แล้ว รัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ใหม่จะต้องลงมติให้ความเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ซึ่งถูกยุบไปแล้ว สภาใหม่จะแก้ไขประการใดก็ได้ เป็นต้น ส่วนรัฐธรรมนูญของประเทศเดนมาร์ก รัฐธรรมนูญของประเทศฟินแลนด์ และรัฐธรรมนูญของสวีเดน บัญญัติไปในทางที่ว่าจะยุบสภาเพื่อให้สภาลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่ก็ได้ เป็นต้น นอกจากการบัญญัติให้รัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ซึ่งถูกยุบและรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ที่ได้รับเลือกใหม่ร่วมกันพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีรัฐธรรมนูญบางประเทศที่กำหนดหลักการให้มีระยะเวลาคั่นกลางระหว่างการลงมติแต่ละครั้ง เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศอิตาลีได้บัญญัติให้การลงมติครั้งสุดท้ายต้องกระทำภายหลัง 3 เดือนของการลงมติครั้งที่สอง เป็นต้น
1.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยถือเป็นการจัดทำขึ้นมาใหม่ใช้แทนฉบับเดิม
เมื่อพิจารณาถึงการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยถือเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ใช้แทนฉบับเดิม นั้นอาจมีขึ้นได้ 2 กรณี ดังนี้
1.2.1 กรณีที่รัฐธรรมนูญฉบับเก่าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
ถ้าหากข้อความที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศหรือไม่สอดคล้องกับจิตใจมีจำนวนมาก หรือถ้าเป็นหลักสำคัญของรัฐธรรมนูญ เช่น ประชาชนเห็นควรเปลี่ยนระบบประมุขของรัฐจากกษัตริย์เป็นประธานาธิบดีหรือประธานาธิบดีเป็นกษัตริย์ หรือระบบสภาเดียวไม่เหมาะสมสมควรเปลี่ยนเป็นสองสภา หรือกลับกันเปลี่ยนจากสองสภาเป็นสภาเดียว ในกรณีเช่นนี้ผู้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญในขณะนั้นจะจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ มีหลักการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศและสอดคล้องกับจิตใจของประชาชน จึงต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อใช้แทนฉบับเก่า
ข้อสังเกต การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจะบัญญัติข้อความให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญที่กำลังใช้อยู่หรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ไม่ได้บัญญัติให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญในทางนิติศาสตร์ถือว่าเมื่อมีกฎหมายฉบับใหม่ที่สมบูรณ์และกฎหมายฉบับใหม่มีข้อความขัดหรือแย้งกับข้อความตามกฎหมายฉบับเก่า ตามหลักกฎหมายที่มาทีหลังย่อมยกเลิกกฎหมายที่มีมาก่อนได้
1.2.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการรัฐธรรมนูญฉบับเดิมมีวัตถุประสงค์ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นใช้แทนฉบับเดิม
การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการที่รัฐธรรมนูญฉบับเดิมมีวัตถุประสงค์ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นใช้แทนฉบับเดิม ในกรณีมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการปฏิวัติหรือรัฐประหารแล้วมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใช้บังคับชั่วคราวเพื่อมีวัตถุประสงค์ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
2. ยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ
การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติ กับการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการรัฐประหาร ดังนี้
2.1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติ
คำว่าการปฏิวัติ (Revolution) เมื่อนำมาใช้ในความหมายในทางการเมือง หมายถึง พฤติการณ์ในการเลิกล้มหรือล้มล้างระบอบการปกครองหรือรัฐบาลซึ่งครองอำนาจอยู่นั้นแล้ว โดยใช้กำลังบังคับแล้วสถาปนาระบอบการปกครองหรือจัดตั้งรัฐบาลใหม่ การปฏิวัติจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงตามระบบเดิม ซึ่งอาจยกเลิกใช้แบบใหม่รื้อโครงสร้างเดิมเป็นส่วนใหญ่ เช่น จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ต้องมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนั้นด้วยเพื่อให้มีหลักการและโครงสร้างการปกครองจากเดิมเปลี่ยนแปลงตามที่คณะปฏิวัติต้องการ และอาจออกกฎหมายมารับรองการกระทำของตนให้ชอบด้วยกฎหมายหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญในเวลาต่อหลังจากการทำปฏิวัติเรียบร้อย เป็นต้น
2.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการรัฐประหาร
การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการคณะรัฐประหาร (Coup d’ Etate) คือ การใช้กำลังอำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ ยึดอำนาจการปกครองของรัฐมาเป็นอำนาจของคณะรัฐประหาร เป็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะเพียงรัฐบาล หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นการล้มล้างรัฐบาลที่บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น แต่ไม่ใช่การล้มล้างการปกครองหรือรัฐทั้งรัฐและไม่จำเป็นต้องมีการใช้ความรุนแรงหรือนองเลือดเสมอไป เมื่อคณะรัฐประหารเข้ามายึดครองอำนาจการปกครองประเทศจึงจำเป็นต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดไว้ไม่ให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร จะมีความผิดในข้อหากบฏ เพื่อให้คณะรัฐประหารพ้นข้อหาของความผิดดังกล่าวได้นั้นต้องมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตามความผิดนั้นยังเป็นความผิดอาญาอยู่ จึงต้องมีการดำเนินการ เช่น การออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรืออาจกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าการกระทำของคณะรัฐประหารนั้นชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นต้น เพื่อให้ตนเองหรือคณะบุคคลดังกล่าวพ้นผิด
2.3 ความแตกต่างระหว่างการปฏิวัติกับการรัฐประหาร
เมื่อพิจารณาถึงการปฏิวัติกับการรัฐประหารจะพบว่าการปฏิวัติกับการรัฐประหารมีความแตกต่างกัน อยู่ 2 ลักษณะ คือ ความแตกต่างในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงกับความแตกต่างในลักษณะของผู้ก่อการ ดังนี้
2.3.1 ความแตกต่างในลักษณะของการเปลี่ยนแปลง
การปฏิวัติกับการรัฐประหารจะมีความแตกต่างในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองกับการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐบาล คือ การปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบหนึ่งไปสู่อีกระบอบหนึ่ง หรือมีการล้มล้างสถาบันประมุขของรัฐเพื่อเปลี่ยนรูปแบบประมุขของรัฐ ดังนั้นการปฏิวัติต้องเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจหรือการเมืองใหม่ทั้งหมด ตัวอย่างการปฏิวัติ เช่น การปฏิวัติอเมริกาจากอาณานานิคมของประเทศอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 1776 การปฏิวัติใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย ค.ศ. 1932 (พ.ศ.2475) เป็นต้น ส่วนการรัฐประหาร หมายความแต่เพียงการเปลี่ยนแปลงอำนาจการบริหารประเทศโดยฉับพลันเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยการยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลเดิมแต่ไม่เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือประมุขของประเทศแต่ประการใด ตัวอย่างในการรัฐประหาร เช่น การรัฐประหารของประเทศบังคลาเทศ ค.ศ. 1966 เป็นต้น
2.3.2 ความแตกต่างในลักษณะของผู้ก่อการ
การปฏิวัติกับการรัฐประหารจะมีความแตกต่างกันในลักษณะของผู้ก่อการ คือ การปฏิวัตินั้นผู้กระทำหรือผู้ก่อการมักจะเป็นประชาชนซึ่งรวมตัวกันขึ้น หรือมีคณะบุคคลดำเนินการโดยความสนับสนุนของประชาชนและอาจมีการใช้กำลังอาวุธหรือแรงผลักดันทางการเมืองประการอื่นก็ได้ ส่วนการรัฐประหารนั้นผู้กระทำหรือผู้ก่อการการมักจะเป็นบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาลหรือมีส่วนอยู่ในรัฐบาลหรือโดยคณะทหาร
2.4 ผลทางกฎหมายในการยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ
ผลทางกฎหมายในการยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ คือ การปฏิวัติ รัฐประหาร นั้นหาชอบด้วยกฎหมายไม่ ซึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และแม้แต่กฎหมายอาญาเองก็ไม่ยอมรับการปฏิวัติหรือการรัฐประหาร ซึ่งจะเป็นความผิดฐานกบฏ ผลของการปฏิวัติหรือรัฐประหารย่อมเป็นที่รับรองตามกฎหมายภายในของทุกรัฐ ผลอันเกิดจากเหตุนี้อาจสมบูรณ์ และชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ทั้งๆที่ไม่มีสิทธิปฏิวัติหรือรัฐประหาร แต่ถ้าปฏิวัติหรือรัฐประหารสำเร็จแล้วคณะปฏิวัติหรือรัฐประหารย่อมเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลโดยชอบด้วยกฎหมายได้ คำสั่งทั้งปวงที่คณะปฏิวัติหรือรัฐประหารประสงค์จะให้เป็นกฎหมาย ถือว่าเป็นกฎหมายของแผ่นดินหรืออาจมีตรากฎหมายนิรโทษกรรมไว้ด้วยก็ได้เพื่อเป็นอุดช่องว่างไม่ให้มีการฟ้องคดีขึ้นในภายหลัง ดังคำพิพากษาของศาลสูงของประเทศสหรัฐอเมริกาในคดี Well v. Bain ว่า “การใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลนั้นก่อให้เกิดผลตรงกันข้ามสองประการ คือ ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นการสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ใหม่ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็จะเป็นกบฏ”
ดังนั้นผลทางกฎหมายในการยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญอาจแยกคำตอบได้ 3 แนวทาง ดังนี้
2.4.1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญย่อมมีผลให้ระบบกฎหมายที่มีอยู่เดิมหมดสภาพไป
การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติรัฐประหารกระทำการสำเร็จย่อมมีผลให้ระบบกฎหมายที่มีอยู่เดิมหมดสภาพไป พร้อมกันนั้นก็ทำให้ความสมบูรณ์ของกฎหมาย ในระบบกฎหมายเดิมก่อนปฏิวัติสิ้นสภาพลงเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยใช้กำลังย่อมทำให้บรรดากฎหมายที่ใช้อยู่สิ้นสภาพและความสมบูรณ์ลงในทันที เนื่องจากถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นพื้นฐานของระบบกฎหมาย แนวคำตอบหรือแนวคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับกันในทางปฏิบัติจากศาลในประเทศเครือจักรภพอังกฤษ ถึง 4 ศาล คือ ศาลฎีกาประเทศปากีสถาน ศาลสูงสุดของประเทศอูกานดา ศาลอุทธรณ์ของโรดีเซีย และ The Judicial Committee of The Privy Council ของประเทศอังกฤษ
2.4.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญไม่มีผลให้ระบบกฎหมายที่มีอยู่เดิมหมดสภาพไป
การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติรัฐประหารกระทำการสำเร็จไม่มีผลให้ระบบกฎหมายที่มีอยู่เดิมหมดสภาพไป กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บทที่กำหนดเงื่อนไขความสมบูรณ์ของกฎหมายที่จะตราขึ้นใช้บังคับ กฎหมายใดๆที่ถูกตราขึ้นแล้วตรงตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ กฎหมายนั้นย่อมเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์ในตัวของมันเองโดยมิได้ผูกอิงความสมบูรณ์ของมันอยู่กับรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
2.4.3 การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญมีผลเฉพาะในบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการเมืองเท่านั้น
การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติรัฐประหารกระทำการสำเร็จมีผลให้ระบบกฎหมายที่มีอยู่เดิมหมดสภาพไปเฉพาะในบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการเมืองเท่านั้น กล่าวคือ ทำให้บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองสิ้นผลใช้บังคับไป โดยที่บทบัญญัติในส่วนอื่นๆ ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่เช่นเดิม
วิเคราะห์การยกเลิกรัฐธรรมนูญของประเทศไทยตั้งอดีตถึงปัจจุบัน
ประเทศไทย หลังมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2475 และมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการต่างๆหลายฉบับด้วยกันจนถึงปัจจุบัน รวม 19 ฉบับ นับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเปลืองที่สุดในโลก พบว่ามีการยกเลิกรัฐธรรมนูญนั้นเกิดขึ้นได้ 2 วิธีด้วยกันคือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยวิถีทางรัฐธรรมนูญกับการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการรัฐประหาร ดังนี้
1.1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ
การยกเลิกรัฐธรรมนูญวิถีทางรัฐธรรมนูญ คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือการยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยรัฐธรรมนูญฉบับเก่ามีวัตถุประสงค์ให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับเก่าทั้งฉบับ ดังนี้
1.1.1การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิถีทางรัฐธรรมนูญของประเทศไทยพบว่ามีการยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเหตุผลของการยกเลิกใช้รัฐธรรมนูญมีอยู่ว่า รัฐธรรมนูญนั้นไม่ว่าเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อได้ประกาศใช้มาเป็นเวลานานแล้ว อาจมีข้อความที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ ทั้งบางมาตราและมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ดังนี้
1.1.1.1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญบางมาตรา
การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยวิถีทางรัฐธรรมในกรณีบางมาตราของประเทศไทย คือ เมื่อมีการยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราในมาตรานั้นก็จะถูกยกเลิกแล้วให้ใช้มาตราใหม่ที่แก้ไขเพิ่มเติมใช้แทน ดังนี้
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ฉบับที่ 2 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา จำนวน 3 ครั้ง คือ (1) รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศ พุทธศักราช 2482 (2) รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะกาล พุทธศักราช 2483 รัถธัมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราสดร พุทธศักราช 2485
2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ฉบับที่ 3 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา จำนวน 4 ครั้ง คือ (1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2490 (2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) (ฉะบับที่ 2) พุทธศักราช 2491 (3) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) แก้ไขเพิ่มเติม (ฉะบับบที่ 3) พุทธศักราช 2491
3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ฉบับที่ 10 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา จำนวน 1 ครั้ง คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2518
4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ฉบับที่ 13 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา จำนวน 2 ครั้ง คือ (1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2528 (2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2532
5.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ฉบับที่ 15 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา จำนวน 6 ครั้ง คือ (1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2535 (2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2535 (3) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2535 (4) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2535 (5) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 (6) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539
6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ฉบับที่ 16 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา จำนวน 1 ครั้ง คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2548
7.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ฉบับที่ 18 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา จำนวน 2 ครั้ง คือ คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2554 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2554
8.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ฉบับที่ 19 (รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา มีอยู่ 1 ครั้ง คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2558
1.1.1.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
การยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับของประเทศไทย คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่แทนฉบับเก่า ดังนี้
1.การยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ด้วยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
2.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 15 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ด้วยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
1.1.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมมีวัตถุประสงค์ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับเดิม
การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมมีวัตถุประสงค์ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับเดิมของประเทศไทย พบว่ามีอยู่ 2 กรณีด้วยกัน ซึ่งโดยส่วนมากจะกำหนดไว้ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีหลายฉบับด้วยกัน ดังนี้
1.1.2.1 การจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเก่าเนื่องจากมีความล้าสมัย
การจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเก่าเนื่องจากมีความล้าสมัย ต้องจัดรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาใช้แทนฉบับเก่า คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ล้าสมัยจึงได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
1.1.2.2 การจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเก่า
การจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเก่า รัฐธรรมฉบับเก่าก็จะถูกยกเลิกไป ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดไว้ ดังนี้
1.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 พระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศุกราช 2475 เนื่องจากได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร คือ รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
2.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 เนื่องจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
3.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2502 เนื่องจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
4.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 9 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 เนื่องจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
5. การยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 17 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 เนื่องจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
2.2.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ
การยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญของประเทศ จะเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญการรัฐประหารทั้งหมด คือ มีจำนวน 10 ครั้ง หลังจากมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ในสมัยรัชกาลที่ 7 เปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งได้บัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายลายลักษณ์ที่มีสถานะกฎหมายสูงสุด การยกเลิกรัฐธรรมนูญของประเทศไทยนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยการรัฐประหาร ได้แก่
1.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490
2.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494
3.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 8 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514
4.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
5.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 11 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520
6.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534
7.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ถูกยกเลิกในวันที่ 19 กันยายน 2549
8.การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
2.2.3 ผลทางกฎหมายในการยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
ผลทางกฎหมายในการยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติ รัฐประหารของประเทศไทยที่ผ่านมาที่มีการยอมรับถือว่าเป็นการกระทำนั้นไม่เป็นความผิด เพราะเมื่อมีการปฏิวัติ รัฐประหารสำเร็จถือว่าคณะปฏิวัติรัฐ ประหารมีอำนาจสูงสุดที่ดำเนินการออกกฎหมายรองรับการกระทำนั้นว่าไม่เป็นความผิด แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีนักวิชาการบางกลุ่มก็ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกรัฐธรรมนูญนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญถือว่ามีการกระทำความผิดถึงแม้ออกกฎหมายมารองรับก็ตามถือว่าเป็นโมฆะขัดต่อหลักกฎหมายธรรมชาติ
ดังนั้นผลของการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร ของประเทศไทยถือกันว่าการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร ไม่มีผลต่อระบบกฎหมายของรัฐหรือบรรดาความสมบูรณ์ของกฎหมายอื่นๆ ในระบบกฎหมาย เว้นแต่จะมีการประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิวัติรัฐประหารออกมายกเลิกกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ) เมื่อรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกไปโดยการปฏิวัติหรือการรัฐประหาร กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็สิ้นผลไปตามรัฐธรรมนูญ เพราะ “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ขยายเนื้อหารายละเอียดในรัฐธรรมนูญ” มีความใกล้ชิดกับรัฐธรรมนูญมาก ส่วนกฎหมายธรรมดาอื่นๆ (พระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่นที่มีค่าบังคับเท่าพระราชบัญญัติ) ซึ่งเป็น”กฎหมายที่ออกตามเนื้อความตามรัฐธรรมนูญ” เมื่อรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกไปด้วยการปฏิวัติหรือการรัฐประหารย่อมไม่สิ้นผลไปกับรัฐธรรมนูญเพราะกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์ในตัวมันเอง มิได้ผูกอิงควาใสมบูรณ์ของมันอยู่กับรัฐธรรมนูญดังเช่นกฎหมายที่ออกมาขยายเนื้อหารายรายเอียดของรัฐธรรมนูญ
บรรณานุกรม
เกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์ “หลักการพื้นฐานกฎหมายมหาชน” กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน,2556
กิตติศักดิ์ ปรกติ “เมื่อนิรโทษกรรมกลายเป็นเรื่องล้าหลังและไร้ประโยชน์” วารสารวันรพี 2550
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โกเมศ ขวัญเมืองและสิทธิกร ศักดิ์แสง “การศึกษาแนวใหม่ : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป”
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์วิญญูชน,2549
จรัญ โฆษณานันท์ “ปรัชญากฎหมายไทย” กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, พิมพ์ครั้งที่ 6 ,2545
จรัญ โฆษณานันท์ “นิติปรัชญา” กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2538
ปิยบุตร แสงกนกกุล “พระราชอำนาจ องคมนตรีและผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์
openbook ,2550
พรเลิศ สุทธิรักษ์ และสิทธิกร ศักดิ์แสง “การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน : กรณีศึกษา
เปรียบเทียบการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กับ 2550” รายงานวิจัยเสนอต่อวิทยาลัยตาปี ปีการศึกษา 2552
โภคิน พลกุล “ปัญหาและข้อคิดบางเรื่องจากรัฐธรรมนูญไทย” กรุงเทพฯ : ศูนย์การพิมพ์พลชัย,2524,
แม่ลูกจันทร์ “สถิติใหม่” สำนักข่าวหัวเขียว คอลัมน์เด่นไทยรัฐ ไทยรัฐออนไลท์ วันที่ 27 กรกฎาคม
2557 http://www.thairath.co.th/content/438853
รายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 36/2550 วันพฤหัสบดี ที่ 28 มิถุนายน พุทธศักราช 2550 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
วนิดา แสงสารพันธ์ “หลักรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน” กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์วิญญูชน,2548
สิทธิกร ศักดิ์แสง “การยกเลิกกฎหมายนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญขัดต่อหลักนิติรัฐหรือไม่” วารสารกฎหมาย
คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยตาปี (เมษายน –มิถุนายน 2550)
…………………… “สถานะทางกฎหมายของประกาศคณะปฏิวัติ… ?” ได้รับพิจารณาให้เสนอผลงานทาง
วิชาการด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมระดับคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ โครงการสัมมนาทางวิชาการด้านนิติศาสตร์ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานกิจการยุติธรรม สภานิติศึกษา วันพุธที่ 30 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2551 ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
………………….. “การปกครองแบบนิติรัฐที่ยึดหลักนิติธรรมกับปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลต่อการจัดทำ
และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไทย” กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เดือนตุลา,2556
สันติเลิศ เพ็ชรอาภรณ์ “ปัญหาการมีสาวนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 : ศึกษากรณีการเสนอร่างกฎหมายของประชาชนและการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของประชาชน” วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, 2547
David Butler, Austin Ranney. Referendums : A Comparative Study of Practice and
Theory. Washington D.C. : American Enterprise.1980,p.42.
Oxford University Dictionary, 3rd.,vol.Ii,p.1730
Wolf Linder. Swiss Democracy : Possible to Conflict in Multicultural Societies, New York :
ST. Martin’s Press,194,p.9
Oxford University Dictionary, 3rd.,vol.Ii,p.1730
「รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22」的推薦目錄:
- 關於รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
- 關於รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
- 關於รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
- 關於รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 “สภาแต่งตั้ง” เล่นใหญ่เพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ และขยาย ... 的評價
- 關於รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 รัฐธรรมนูญไทย ฉบับที่ 19 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ... - YouTube 的評價
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
การจัดให้มีและการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
การจัดให้มีและการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทยนี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงอำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญว่าใครเป็นผู้มีรัฐธรรมนุญ อำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญว่าใครเป็นผู้มีอำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ และวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญไทยในปัจจุบัน ดังนี้
1.1การจัดให้มีรัฐธรรมนูญไทย
สำหรับแนวคิดการจัดให้มีรัฐธรรมนูญของประเทศไทยนั้นได้รับหลักการแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญหรืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เริ่มเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ได้ส่งบุตรหลานไปศึกษาในต่างประเทศเพื่อต้องการให้ประเทศไทยเราได้คืนสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาลจากประเทศตะวันตก ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐเคยมีดำริจะพระราชทานรัฐธรรมนูญในทำนองนี้มาแล้ว 2 ครั้ง คือ ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับสมัยรัชกาลที่ 7 (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คือ
1.ในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยมีการริเริ่มโครงการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้น ที่เรียกว่า “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมเด็จพระยาเทววงศ์วโรปการ” แต่โครงนี้ไม่ได้มีวิวัฒนาการไปมากนัก
2.ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการดำริเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง จนถึงกับมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น 2 ฉบับ คือ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ดำริเองที่ให้มีการปกครองแบบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าคณะอภิรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับจึงถูกระงับไป จนเป็นเหตุให้มีการปฏิวัติโดยคณะราษฎร์ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอำนาจการจัดให้มีของรัฐธรรมนูญประเทศไทยโดยเฉพาะอำนาจดั้งเดิม การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และจัดให้มีรัฐธรรมนูญไทยฉบับแรกเกิดขึ้น พ.ร.บ.ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชัว่คราว 2475 ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างประมุขของรัฐ ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ราษฎรในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ และต่อมานักวิชาการได้ให้ความเห็นว่า “ถือเป็นประเพณีมาตลอดว่าเมื่อมีการปฏิวัติหรือรัฐประหารเกิดขึ้นและจัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นนั้นถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างประมุขของรัฐ ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ราษฎร ในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ” ดังจะเห็นได้จากคำปรารภในรัฐธรรมนูญ เช่น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2502 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520 เป็นต้น ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ
1.คณะผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารต้องการอาศัยพระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์เพื่อที่จะให้ประชาชนรู้สึกและเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงยินยอมให้มีการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
2.คณะผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารต้องการอาศัยพระราชอำนาจทางสังคมและการเมืองของพระมหากษัตริย์ เพื่อให้นานาประเทศรับรองรัฐบาลใหม่
3.คณะผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารต้องการให้เห็นความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตามในความเห็นของผู้เขียนในกรณีการจัดให้มีรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นโดยการปฏิวัติรัฐประหาร ราษฎรมีส่วนร่วมในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญนั้นมีน้อยมากหรือไม่อาจเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ส่วนมากมาจากคณะปฏิวัติหรือรัฐประหารส่วนใหญ่ที่มีอำนาจจัดให้มีโดยอาศัยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการลงพระปรมาภิไธยประกาศให้มีการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
1.2 การจัดทำรัฐธรรมนูญไทย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทยได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยหลักการที่เกิดจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยส่วนใหญ่จะมาจากการจัดทำรัฐธรรมนูญ คือ การจัดทำโดยคณะปฎิวัติ รัฐประหาร การจัดทำโดยสภานิติบัญญัติและการจัดทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวน ทั้ง 18 ฉบับ ดังนี้
1.2.1 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะปฏิวัติ รัฐประหาร
ประเทศไทยเมื่อมีการปฏิวัติ รัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อใดก็จะมีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนั้นและจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยคณะปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งส่วนมากจะเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว ดังนี้
1.2.1.1 จากการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะปฏิวัติ
เกิดจากการจัดทำโดยคณะปฏิวัติ คือ รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 1 : พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เกิดจากคณะราษฎรซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ได้จัดร่างฯขึ้น มีจำนวน 39 มาตรา โดยหลวงประดิษฐมนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 หรือหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 3 วัน
1.2.1.2 เกิดจากการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะรัฐประหาร
จากการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะรัฐประหารมีด้วยกันหลายฉบับ ดังนี้
1.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 หลังจากที่ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ทำการรัฐประหาร ได้ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวขึ้นมาใช้ มีจำนวน 98 มาตรา ประกาศใช้เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2490
2.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเพียง 20 มาตรา คณะรัฐประหารได้นำมาใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศชั่วคราว โดยประกาศใช้เมื่อ 28 มกราคม 2502
3.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 9 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นแนวทางในการบริหารประเทศไปพลางก่อน โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515
4.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 11 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ภายหลังการยึดอำนาจ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้มีคำสั่ง 6/2519 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2519 แต่งตั้ง "คณะเจ้าหน้าที่ทำงานกฎหมาย" ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ และต่อมาได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 11 มีจำนวน 29 มาตรา ในวันที่ 22 ตุลาคม 2519
5.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 12 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 เกิดจากการที่ คณะรัฐประหาร ซึ่งนำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ นำมาใช้หลังจากที่ได้ทำการรัฐประหารซ้ำ โดยได้วางหลักการไว้กว้างๆ เหมือนกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับก่อนๆ รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีจำนวน 32 มาตรา ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2520
6.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 14 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งนำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ได้อ้างเหตุผลในการยึดอำนาจว่า ประการแรก คณะรัฐบาลได้อาศัยอำนาจหน้าที่ทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้องอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ประการที่สอง ข้าราชการการเมืองใช้อำนาจรังแกข้าราชการประจำ และประการที่สาม นักการเมืองที่บริหารประเทศมีการรวบอำนาจนำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา คณะ รสช.จึงได้ทำการรัฐประหาร ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 13 และนำรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาประกาศใช้ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 มีจำนวน 33 มาตรา
7.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 17 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศชั่วคราว ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยมีจำนวน 39 มาตรา
1.2.2 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติ
การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติของประเทศไทย มีดังนี้
1.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (ไทย) พุทธศักราช 2475 เกิดจากสภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมการยกร่างฯขึ้น เพื่อใช้เป็นรัฐธรรรมนูญฉบับถาวร มีจำนวน 68 มาตรา ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งต่อมาถือเป็น "วันรัฐธรรมนูญ"
2.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มีที่มาจาก ส.ส.ประเภทที่ 2 ที่ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภาผู้แทนราษฎร และสภาพิจารณาแล้วอนุมัติ มีจำนวนมาตรา 68 มาตรา โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489
3.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ในช่วงที่ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้ง "คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ" ขึ้น และได้จัดร่างรัฐธรรมญนูญ โดยยึดหลักประชาธิปไตยอย่างมาก เมื่อร่างฯเสร็จ สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติให้ความเห็นชอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทาน ประกาศใช้เมื่อ 7 ตุลาคม 2517 มีจำนวนมาตรา 238 มาตรา
4.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 13 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จนแล้วเสร็จ จากนั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาและให้ความเห็นชอบ และเมื่อได้มีมติเห็นชอบแล้ว ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 มีจำนวน 206 มาตรา
5.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 15 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นยกร่างฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา และให้ความเห็นชอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 มีจำนวน 223 มาตรา
ข้อสังเกต การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติอาจมอบหมายให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาก่อนแล้วให้สภาดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาในขั้นสุดท้ายก็ได้ เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเมื่อยกร่างเสร็จแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญและทูลเกล้าฯประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 เป็นต้น
1.2.3 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ประเทศไทยมีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีอยู่ 4 ครั้งด้วยกันดังนี้
1.2.3.1 การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492
การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 1จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐบาลในขณะนั้นได้เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 ต่อสภา เพื่อให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ประกอบด้วยสมาชิก 40 คน โดยกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เลือกจากสมาชิกวุฒิสภา 10 คน จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 10 คน และจากผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญอีก 4 ประเภท ๆ ละ 5 คน คือ
1) ผู้มีคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน (ประเภททั่วไป)
2) ผู้ที่ดำรง หรือเคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง หรืออธิบดี หรือเทียบเท่า
3) ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทน หรือสมาชิกพฤฒสภา หรือดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี
4) ผู้สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
และยังกำหนดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญกำหนดขึ้น เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 จากนั้นดำเนินการเปิดการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต โดยที่ประชุมมีมติเลือกเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จสิ้น เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2491 และเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาตามวิธีการที่รัฐธรรมนูญกำหนด ที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2492 เสนอโปรดเกล้าและประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492
1.2.3.2 การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511
การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 2 จัดตั้งขึ้นตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 โดยรัฐธรรมนูญดังกล่าวกำหนดให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจำนวน 240 คน ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญและให้มีฐานะเป็นรัฐสภาทำหน้าที่นิติบัญญัติอีกด้วย โดยมีประกาศแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 และเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม มี พลเอกสุทธิ์ สุทธิสารรณกร ได้รับเลือกจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ยังทำหน้าที่ในการคัดเลือกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าวนอกจากอำนาจหน้าที่ที่กล่าวมาแล้วยังมีอำนาจในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ตนเองจัดทำขึ้นอีกด้วย แต่ไม่มีอำนาจในการควบคุมบริหารราชการแผ่นดิน นับได้ว่าเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้เวลายาวนานถึง 9 ปี 4 เดือน (3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ถึง 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511) ในระหว่างนั้นมีการเลือกตำแหน่งประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญคนใหม่ คือ นายทวี บุณยเกตุ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 เนื่องจากการอสัญกรรมของประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญคนเดิม สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 แล้วเสร็จประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511
ข้อสังเกต สภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 ผู้เขียนเห็นว่ายังห่างไกลจากความหมายที่แท้จริงของสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่อย่างใดจากกลุ่มบุคคลที่ปฏิวัติรัฐประหาร
1.2.3.3 การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 3 จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 โดยมีหลักการและอำนาจหน้าที่สำคัญดังนี้ สภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน (ขณะนั้นประเทศไทยมี 76 จังหวัด) รวมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ จำนวน 23 คน เป็น 99 คน มีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ กำหนดให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลา 240 วัน นับแต่วันที่มีสมาชิกครบจำนวน ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนในการทำหน้าที่เป็นสำคัญ และให้สภาร่างรัฐธรรมนูญกำหนดพื้นฐานอันนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองโดยปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองขึ้นใหม่ให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ยังคงรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ตลอดไป รัฐสภาดำเนินการคัดเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จังหวัดละ 1 คน (จากประชาชนที่สนใจสมัครและคัดเลือกกันเองแล้วจนเหลือเป็นผู้แทนจังหวัดละ 10 คน) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2539 และในการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่หนึ่งที่ประชุมมีมติเลือกนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นทั้งฉบับ ผ่านการลงมติให้ความเห็นชอบ และส่งมอบให้ประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2540 จากนั้นมีการประกาศและบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540
1.2.3.4 การจัดทำรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
การจัดทำรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 สภาร่างรัฐธรรมนูญ ชุดที่ 4 จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 จากเหตุการณ์การยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวแทนฉบับเดิม โดยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มีสมัชชาแห่งชาติ พ.ศ. 2549 โดยมีจำนวนสมาชิกที่มาจากการสรรหาจากทุกภาคส่วน จำนวนทั้งสิ้น 1,982 คน จากนั้นให้ลงมติคัดเลือกกันเอง เหลือ 200 คน แล้วให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ทำการคัดเลือกเหลือ 100 คน เพื่อไปเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิอีก 10 คน ทำหน้าที่ร่วมเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการร่างรัฐธรรมนูญและต้องเสนอความเห็นพร้อมกับเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทางการเมืองการปกครองที่กำหนดให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการออกเสียงลงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบ / ไม่เห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้เปิดประชุมสภาครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2550 และมีมติเลือก นายนรนิติ เศรษฐบุตร เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จ และจัดให้มีการลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 โดยผลการลงประชามติปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบ 14,727,306 คน (คิดเป็นร้อยละ 57.81) มากกว่าคะแนนเสียงที่ไม่เห็นชอบ ซึ่งมีคะแนนเสียง 10,747,441 คน (คิดเป็นร้อยละ 42.19) จากนั้นจึงประกาศและบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
แนวคิดและทฤษฎีการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญและของประเทศไทย
แนวคิดและทฤษฎีการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนขอกล่าวถึง อำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญกับอำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ อธิบายถึงวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญ และรวมไปถึงการเกิดขึ้นในการจัดให้มีและการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทยด้วย ดังนี้
1.การเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรมีอำนาจใดบ้างในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ ใครเป็นผู้มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญ ซึ่งแนวคิดการเกิดของรัฐธรรมนูญมีอยู่ 2 อำนาจ คือ อำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญกับอำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1.1 อำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
อำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ (The Constitution provides) หมายถึง อำนาจทางการเมืองของคณะบุคคลหรือบุคคลที่อยู่ในฐานะบันดาลให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นได้สำเร็จ หรือ เรียกอย่างหนึ่งว่า “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” โดยนัยนี้ผู้มีอำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ หมายถึง รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หรือผู้มีฐานะอย่างรัฏฐาธิปัตย์ (ผู้มีอำนาจสูงสุด) ซึ่งผู้มีอำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ อาจจำแนกได้ ดังนี้
1) ประมุขของรัฐเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
2) ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
3) ราษฎรเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
4) ประมุขของรัฐ คณะปฏิวัติหรือรัฐประหารและราษฎรร่วมกันจัดให้มีขึ้น
5) ผู้มีอำนาจจากองค์กรภายนอกจัดให้มีขึ้น
1.1.1 ประมุขของรัฐเป็นผู้จัดให้มีรัฐธรรมนูญ
ประมุขของรัฐเป็นผู้จัดให้มีอาจแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ ประมุขของรัฐที่เป็นกษัตริย์กับประมุขของรัฐที่เป็นบุคคลธรรมดา แต่เมื่อพิจารณาทางประวัติศาสตร์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประมุขของรัฐเป็นผู้จัดให้มีรัฐธรรมนูญจะเป็นกษัตริย์ที่มีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจเป็นผู้จัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นเองได้ตามพระราชประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ประชาชนควรมีสิทธิมีเสียงในการบริหารประเทศ ในกรณีเช่นนี้ประมุขของรัฐจะสละอำนาจบางส่วนของพระองค์ให้แก่คณะบุคคลหรือประชาชนทั่วไป แต่ยังทรงสงวนพระราชอำนาจบางประการไว้
ตัวอย่าง รัฐธรรมนูญที่ประมุขของรัฐเป็นผู้จัดให้มี ได้แก่ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศญี่ปุ่น สมัยจักพรรดิ์เมจิ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1889 ซึ่งได้ถูกยกเลิกไป หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ.1815 รัฐธรรมนูญของประเทศโมนาโค ซึ่งจัดให้มีขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911 และรัฐธรรมนูญของประเทศเอธิโอเปีย ค.ศ. 1931 รัฐธรรมนูญของประเทศภูฏาน คือ สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี ซิงเก วังซุก ทรงจัดให้มีรัฐธรรมนูญเปลี่ยนการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อ ปี ค.ศ. 2008 เป็นต้น
ข้อสังเกต การที่ประมุขจัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นเองย่อมส่งผลดี 2 ประการ คือ
1. เพื่อช่วยให้ประเทศพ้นจากการปฏิวัติ เพราะประมุขของรัฐได้จัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นก่อนที่มีการเรียกร้องหรือบีบบังคับให้มีรัฐธรรมนูญขึ้น
2. เพื่อเสริมสร้างบารมีของกษัตริย์ ตลอดจนเป็นวิธีการทำให้พสกนิกรเคารพยำเกรงกษัตริย์ยิ่งขึ้น เพราะสำนึกในพระกรุณาและน้ำพระทัยที่ทรงสละพระราชอำนาจบางส่วนแก่พสกนิกรของพระองค์
1.1.2 ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารในฐานะจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ที่เรียกว่า “การปฏิวัติ” (Revolution) หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยใช้กำลังอำนาจบังคับที่เรียกว่า “รัฐประหาร” (Coup d’ Etate) ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารได้สำเร็จย่อมอยู่ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งมีอำนาจวางกฎเกณฑ์การปกครองประเทศได้ตามที่ตนต้องการ บุคคลประเภทนี้จึงจัดได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
ตัวอย่างเช่น การปฏิวัติครั้งใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1789 การปฏิวัติในประเทศรัสเซีย ปี ค.ศ.1917 เป็นตัวอย่างของการปฏิวัติที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ไปสู่ระบอบอื่นในทันทีทันใดและมีการจัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่
1.1.3 ราษฎรในฐานะผู้มีอำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
ในกรณีราษฎรร่วมกันก่อการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองได้สำเร็จ ราษฎรทั้งปวงย่อมได้ชื่อว่า ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งตนช่วงชิงมาได้ แม้หัวหน้าผู้ก่อการปฏิวัติก็ต้องอยู่ภายใต้ความประสงค์ของประชาชน จะทำการใดตามความพอใจของตนเองดังในกรณีดังกล่าวข้างต้นไม่ได้
ตัวอย่าง รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1787 ซึ่งเป็นผลจากชาวอเมริกันใน 13 มลรัฐใหญ่ปฏิวัติแยกตัวออกจากประเทศอังกฤษ เมื่อ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 รัฐธรรมนูญของประเทศรัสเซีย ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ชาวรัสเซียปฏิวัติยึดอำนาจจากพระเจ้านิโคลัส ในปี ค.ศ. 1917 รัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศส ค.ศ. 1791 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ชาวฝรั่งเศสปฏิวัติยึดอำนาจจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในปี ค.ศ. 1789 เป็นต้น
คำปรารภของ รัฐธรรมนูญชนิดนี้มักจะมีถ้อยคำเร้าใจแสดงให้เห็นถึงพลังร่วมกันของประชาชน ซึ่งฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการจนสำเร็จ
1.1.4 ประมุขของรัฐ คณะปฏิวัติหรือรัฐประหาร และราษฎรเป็นผู้จัดให้มีรัฐธรรมนูญร่วมกัน
ในบางกรณีเมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น คณะปฏิวัติรัฐประหารไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม หรือความรุนแรง คณะปฏิวัติรัฐประหารเมื่อได้ปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จต้องการอำนาจทางสังคมที่ประมุขของรัฐมีต่อประชาชน อาจอาศัยอำนาจของประมุขของรัฐ โน้มน้าวให้ประชาชนร่วมมือในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้น จึงเกิดแนวความคิดประมุขของรัฐ ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ราษฎร ในฐานะเป็นผู้จัดให้มีร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันในการจัดทำรัฐธรรมนูญ
1.1.5 ผู้มีอำนาจภายนอกในฐานะผู้มีอำนาจจัดให้มี
ประเทศที่จะได้รับเอกราชคืนจากประเทศเจ้าอาณานิคม นั้นมักจะตกลงเป็นเงื่อนไขก่อนเสมอว่า ประเทศใต้อาณานิคมจะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญซึ่งประเทศเจ้าอาณานิคมรับรองแล้ว ดังเช่นในกรณีประเทศญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ภายใต้การดูแลของประเทศสหรัฐอเมริกา ถ้าประเทศญี่ปุ่นปลอดจากการยึดครองและได้เอกราชโดยสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีการจัดทำรัฐธรรมนูญ มีการกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศเป็นที่พอใจแก่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จัดให้มีและเป็นผู้จัดทำเองด้วย ในกรณีนี้ถือได้ว่ารัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้มีอำนาจภายนอกในฐานะผู้จัดให้มีรัฐธรรมนูญของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
ข้อสังเกต รัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นจากผู้มีอำนาจจากองค์กรภายนอกในฐานะผู้จัดให้มีรัฐธรรมนูญ อาจก่อให้เกิดผลเสียบางประการ ดังนี้
1.ทำให้ประชาชนขาดความภาคภูมิใจรัฐธรรมนูญของตน เรื่องนี้เป็นเหตุผลในทางจิตวิทยาทางการเมือง เช่น กรณีรัฐธรรมนูญของประเทศญี่ปุ่นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจัดให้มีและจัดทำโดยคณะกรรมาธิการชาวอเมริกัน ได้มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่รังเกียจรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะเห็นว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่องค์กรภายนอกยัดเยียดให้ เป็นต้น
2.การที่องค์กรภายนอกเข้ามาจัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นอาจจะเป็นการฝ่าฝืนความประสงค์และเจตนารมณ์ของประชาชนในประเทศนั้นๆ เช่น รัฐธรรมนูญอาจจะมีบทบัญญัติบางอย่าง ซึ่งไม่สอดคล้องกับลักษณะนิสัย สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นต้น
1.2 อำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ
ในทางทฤษฎีกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถือว่า อำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญ (Authorized by the Constitution) เป็นอำนาจที่ควบคู่กับอำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าไม่มีผู้จัดให้มีย่อมไม่มีผู้จัดทำ เว้นแต่ในบางกรณี ผู้มีอำนาจจัดให้มีกับผู้จัดให้ทำบุคคลเดียวกัน เช่น ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นต้น ผู้จัดทำรัฐธรรมนูญแยกพิจารณาได้ดังนี้
1.2.1 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยบุคคลคนเดียว
กรณีที่บุคคลคนเดียวจัดทำรัฐธรรมนูญ มักเกิดขึ้นจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร และผู้ปฏิวัติได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญเตรียมไว้ก่อนแล้ว ร่างรัฐธรรมนูญประเภทนี้มักมีข้อความสั้นๆและมุ่งหมายจะให้เป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีข้อความน้อยมาตราหรือไม่มีบทประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนเท่าใดนัก เช่น ในกรณีของประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2549 (ฉบับชั่วคราว) ที่มีบทบัญญัติ 39 มาตรา และที่สำคัญได้บัญญัติรับรองการกระทำของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) ก่อนและหลังชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อการกระทำของ คปค. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วไม่มีองค์กรใดเข้ามาตรวจสอบการกระทำของ คปค. นับว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เป็นต้น
1.2.2 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะบุคคล
การจัดทำรัฐธรรมนูญคณะบุคคล เป็นกรณีที่มีการจัดตั้งคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมาธิการ” เพื่อทำการยกร่างรัฐธรรมนูญและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการอาจมีจำนวน 10-20 คน โดยคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ประเทศที่ผ่านพ้นจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆหรือเพิ่งได้รับเอกราชใหม่ๆมักจัดทำรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้
ตัวอย่าง รัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นโดยคณะบุคคล เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศอินโดนีเซีย ค.ศ. 1944 รัฐธรรมนูญของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1947 รัฐธรรมนูญของประเทศมาเลเซีย ค.ศ. 1957 เป็นต้น
1.2.3 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติ
ในกรณีที่สภานิติบัญญัติจัดทำรัฐธรรมนูญได้แก่ กรณีที่ต้องการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทั้งฉบับ ซึ่งกรณีการให้สภานิติบัญญัติเป็นผู้จัดทำเสียเอง ย่อมเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่อาจทำงานได้ล่าช้า เพราะต้องปฏิบัติหน้าที่นิติบัญญัติในเวลาเดียวกันและสมาชิกสภาอาจขาดความรู้ความชำนาญในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางทฤษฎีกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่ไม่น้อย การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติ
ข้อสังเกต การที่ให้สภานิติบัญญัติ มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญได้ก็ต่อเมื่อรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญ ดังนั้นอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติจึงเป็นอำนาจที่อยู่ภายในขอบเขตของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
1.2.4 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ
สภาร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง สภาร่างรัฐธรรมนูญของประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น สภาร่างรัฐธรรมนูญถือเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง คือ ประกอบด้วยสมาชิกที่ประชาชนทั้งประเทศได้ออกเสียงเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดทำรัฐธรรมนูญที่ตนร่างขึ้นโดยการสานประโยชน์จากบุคคลทุกฝ่ายเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ที่สุดและถูกต้องตรงตามความประสงค์ของบุคคลทุกฝ่ายให้มากที่สุด สภาร่างรัฐธรรมนูญที่มีอิทธิพลต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญทั่วโลก คือ การประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญ ค.ศ.1789
การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยส่วนมากมักเกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไปแล้วหรือมิฉะนั้นก็ต้องการประสานประโยชน์จากบุคคลทุกฝ่ายเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ที่สุด แท้จริงการร่างรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญก็เหมือนกับการร่างโดยคณะกรรมาธิการ เพียงแต่มีผู้ร่างรัฐธรรมนูญมากกว่าในคณะกรรมาธิการเท่านั้น
การจัดรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญนี้นผู้เขียนเห็นว่าเป็นการยอมรับการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนและนานาประเทศก่อให้เกิดผลดี ดังนี้
1.ทำให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากบุคคลหลายประเภท หลายอาชีพ หลายวงการ ทำให้ได้ความเห็นที่แตกต่างกันออกไป
2.สภาร่างรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ ย่อมสามารถทุ่มเทเวลาสำหรับจัดทำร่างรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องพะวักพะวงกับงานอื่น
3.เป็นการลดความตึงเครียดทางการเมืองและเป็นการประสานประโยชน์จากทุกฝ่าย เช่น การร่างรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มาจากผู้แทนทุกรัฐจึงสานประโยชน์ได้ทุกรัฐ เป็นต้น
2. วิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญ
การจัดทำรัฐธรรมนูญนั้นมีวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญ ด้วยกัน 2 วิธี คือ วิธีจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยการคิดขึ้นมาใหม่ กับ วิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยการเทียบเคียงหรือการลอกเลียนแบบ ดังนี้
2.1 วิธีจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยการคิดขึ้นมาใหม่
วิธีจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยการคิดขึ้นมาใหม่ คือ การคิดโดยการคิดค้นหาหลักเกณฑ์แห่งรัฐธรรมนูญขึ้นเอง เพื่อเป็นเอกลักษณ์และสอดคล้องกับวัฒนธรรมของประเทศนั้น เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1789 ได้จัดทำขึ้นมาใหม่หลังจากการปลดแอกหรือการประกาศอิสรภาพจากประเทศอังกฤษของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดทำรัฐธรรมนูญที่วางหลักการปกครองที่แตกต่างไปจากประเทศอังกฤษ เช่น การใช้ระบบรัฐบาลแบบประธานาธิบดีวางหลักการแบ่งแยกอำนาจหรือแบ่งหน้าที่ของแต่ละองค์กรค่อนข้างจะเคร่งครัดที่แตกแต่งไปจากระบบรัฐบาลแบบรัฐสภาที่วางหลักการแบ่งแยกอำนาจหรือแบ่งหน้าที่ขององค์กรไม่ค่อยเคร่งครัด เป็นต้น
2.2 วิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยการเทียบเคียงหรือการลอกเลียนแบบ
วิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยการเทียบเคียงหรือการลอกเลียนแบบ โดยการหยิบยืมเอาหลักเกณฑ์จากรัฐธรรมนูญของนาประเทศนำมาเป็นต้นแบบซึ่งมีทั้งในรูปแบบของรัฐ รูปแบบการจัดระเบียบแห่งการใช้อำนาจรัฐ กลไกการปกครองประเทศ ตลอดจนหลักการแบ่งแยกอำนาจและสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่คล้ายคลึงกัน รัฐธรรมนูญฉบับสำคัญที่ได้ที่ได้กลายเป็นเจ้าตำรับในรัฐธรรมนูญอื่นๆอย่างแพร่หลาย ได้แก่ รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศสและรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนี ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ก็ได้ลอกเลียนแบบจากรัฐธรรมนูญฉบับสำคัญข้างต้นไว้หลายเรื่องด้วยกัน
แต่อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่งที่นักปราชญ์ทางการเมืองได้กล่าวถึงว่า “เราลอกเลียนรัฐธรรมนูญประเทศหนึ่งได้ แต่เราจะลอกเลียนชีวิตจิตใจของคนในประเทศนั้นไม่ได้” ข้อความนี้จึงควรที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องคำนึงด้วย
2.3 ความสั้นยาวของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญสมัยใหม่มักมีข้อความยาวและมีหลายมาตรา มากกว่ารัฐธรรมนูญสมัยเก่า ที่เป็นเช่นนี้คงเนื่องมาจากประสงค์จะป้องกันการเข้าใจเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญผิดไป และคงต้องการขยายขอบอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่างๆให้กว้างขวางคล่องตัวมากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญสมัยใหม่มักครอบคลุมเนื้อหาในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมืองเอาไว้โดยละเอียด เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศอินเดีย มีถึง 395 มาตรา ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ยาวที่สุดในโลกในขณะที่รัฐธรรมนูญสมัยเก่ามักบัญญัติข้อความสั้นๆโดยปล่อยให้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการตีความอย่างกว้างขวางกันเองในภายหลัง อย่างเช่น รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1789 มีเพียง 7 มาตรา ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่สั้นที่สุดในโลก
3.การจัดให้มีและการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
การจัดให้มีและการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทยนี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงอำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญว่าใครเป็นผู้มีรัฐธรรมนุญ อำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญว่าใครเป็นผู้มีอำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ และวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญไทยในปัจจุบัน ดังนี้
3.1 การจัดให้มีรัฐธรรมนูญไทย
สำหรับแนวคิดการจัดให้มีรัฐธรรมนูญของประเทศไทยนั้นได้รับหลักการแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญหรืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เริ่มเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ได้ส่งบุตรหลานไปศึกษาในต่างประเทศเพื่อต้องการให้ประเทศไทยเราได้คืนสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาลจากประเทศตะวันตก ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐเคยมีดำริจะพระราชทานรัฐธรรมนูญในทำนองนี้มาแล้ว 2 ครั้ง คือ ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับสมัยรัชกาลที่ 7 (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คือ
1.ในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยมีการริเริ่มโครงการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้น ที่เรียกว่า “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมเด็จพระยาเทววงศ์วโรปการ” แต่โครงนี้ไม่ได้มีวิวัฒนาการไปมากนัก
2.ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการดำริเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง จนถึงกับมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น 2 ฉบับ คือ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ดำริเองที่ให้มีการปกครองแบบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าคณะอภิรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับจึงถูกระงับไป จนเป็นเหตุให้มีการปฏิวัติโดยคณะราษฎร์ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอำนาจการจัดให้มีของรัฐธรรมนูญประเทศไทยโดยเฉพาะอำนาจดั้งเดิม การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และจัดให้มีรัฐธรรมนูญไทยฉบับแรกเกิดขึ้น พ.ร.บ.ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชัว่คราว 2475 ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างประมุขของรัฐ ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ราษฎรในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ และต่อมานักวิชาการได้ให้ความเห็นว่า “ถือเป็นประเพณีมาตลอดว่าเมื่อมีการปฏิวัติหรือรัฐประหารเกิดขึ้นและจัดให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นนั้นถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างประมุขของรัฐ ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ราษฎร ในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ” ดังจะเห็นได้จากคำปรารภในรัฐธรรมนูญ เช่น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2502 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520 เป็นต้น ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ
1.คณะผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารต้องการอาศัยพระราชอำนาจทางสังคมของพระมหากษัตริย์เพื่อที่จะให้ประชาชนรู้สึกและเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงยินยอมให้มีการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
2.คณะผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารต้องการอาศัยพระราชอำนาจทางสังคมและการเมืองของพระมหากษัตริย์ เพื่อให้นานาประเทศรับรองรัฐบาลใหม่
3.คณะผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารต้องการให้เห็นความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตามในความเห็นของผู้เขียนในกรณีการจัดให้มีรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นโดยการปฏิวัติรัฐประหาร ราษฎรมีส่วนร่วมในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญนั้นมีน้อยมากหรือไม่อาจเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ส่วนมากมาจากคณะปฏิวัติหรือรัฐประหารส่วนใหญ่ที่มีอำนาจจัดให้มีโดยอาศัยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการลงพระปรมาภิไธยประกาศให้มีการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
3.2 การจัดทำรัฐธรรมนูญไทย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทยได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยหลักการที่เกิดจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยส่วนใหญ่จะมาจากการจัดทำรัฐธรรมนูญ คือ การจัดทำโดยคณะปฎิวัติ รัฐประหาร การจัดทำโดยสภานิติบัญญัติและการจัดทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวน ทั้ง 18 ฉบับ ดังนี้
3.2.1 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะปฏิวัติ รัฐประหาร
ประเทศไทยเมื่อมีการปฏิวัติ รัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อใดก็จะมีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนั้นและจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยคณะปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งส่วนมากจะเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว ดังนี้
3.2.1.1 จากการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะปฏิวัติ
เกิดจากการจัดทำโดยคณะปฏิวัติ คือ รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 1 : พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เกิดจากคณะราษฎรซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ได้จัดร่างฯขึ้น มีจำนวน 39 มาตรา โดยหลวงประดิษฐมนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 หรือหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 3 วัน
3.2.1.2 เกิดจากการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะรัฐประหาร
จากการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยคณะรัฐประหารมีด้วยกันหลายฉบับ ดังนี้
1.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 หลังจากที่ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ทำการรัฐประหาร ได้ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวขึ้นมาใช้ มีจำนวน 98 มาตรา ประกาศใช้เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2490
2.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเพียง 20 มาตรา คณะรัฐประหารได้นำมาใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศชั่วคราว โดยประกาศใช้เมื่อ 28 มกราคม 2502
3.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 9 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นแนวทางในการบริหารประเทศไปพลางก่อน โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515
4.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 11 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ภายหลังการยึดอำนาจ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้มีคำสั่ง 6/2519 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2519 แต่งตั้ง "คณะเจ้าหน้าที่ทำงานกฎหมาย" ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ และต่อมาได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 11 มีจำนวน 29 มาตรา ในวันที่ 22 ตุลาคม 2519
5.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 12 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 เกิดจากการที่ คณะรัฐประหาร ซึ่งนำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ นำมาใช้หลังจากที่ได้ทำการรัฐประหารซ้ำ โดยได้วางหลักการไว้กว้างๆ เหมือนกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับก่อนๆ รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีจำนวน 32 มาตรา ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2520
6.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 14 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งนำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ได้อ้างเหตุผลในการยึดอำนาจว่า ประการแรก คณะรัฐบาลได้อาศัยอำนาจหน้าที่ทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้องอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ประการที่สอง ข้าราชการการเมืองใช้อำนาจรังแกข้าราชการประจำ และประการที่สาม นักการเมืองที่บริหารประเทศมีการรวบอำนาจนำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา คณะ รสช.จึงได้ทำการรัฐประหาร ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 13 และนำรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาประกาศใช้ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 มีจำนวน 33 มาตรา
7.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 17 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศชั่วคราว ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยมีจำนวน 39 มาตรา
3.2.2 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติ
การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติของประเทศไทย มีดังนี้
1.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (ไทย) พุทธศักราช 2475 เกิดจากสภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมการยกร่างฯขึ้น เพื่อใช้เป็นรัฐธรรรมนูญฉบับถาวร มีจำนวน 68 มาตรา ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งต่อมาถือเป็น "วันรัฐธรรมนูญ"
2.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มีที่มาจาก ส.ส.ประเภทที่ 2 ที่ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภาผู้แทนราษฎร และสภาพิจารณาแล้วอนุมัติ มีจำนวนมาตรา 68 มาตรา โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489
3.รัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ในช่วงที่ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้ง "คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ" ขึ้น และได้จัดร่างรัฐธรรมญนูญ โดยยึดหลักประชาธิปไตยอย่างมาก เมื่อร่างฯเสร็จ สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติให้ความเห็นชอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทาน ประกาศใช้เมื่อ 7 ตุลาคม 2517 มีจำนวนมาตรา 238 มาตรา
4.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 13 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จนแล้วเสร็จ จากนั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาและให้ความเห็นชอบ และเมื่อได้มีมติเห็นชอบแล้ว ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 มีจำนวน 206 มาตรา
5.รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 15 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นยกร่างฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา และให้ความเห็นชอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 มีจำนวน 223 มาตรา
ข้อสังเกต การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภานิติบัญญัติอาจมอบหมายให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาก่อนแล้วให้สภาดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาในขั้นสุดท้ายก็ได้ เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเมื่อยกร่างเสร็จแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญและทูลเกล้าฯประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 เป็นต้น
3.2.3 การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ประเทศไทยมีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีอยู่ 4 ครั้งด้วยกันดังนี้
3.2.3.1 การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492
การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 1จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐบาลในขณะนั้นได้เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 ต่อสภา เพื่อให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ประกอบด้วยสมาชิก 40 คน โดยกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เลือกจากสมาชิกวุฒิสภา 10 คน จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 10 คน และจากผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญอีก 4 ประเภท ๆ ละ 5 คน คือ
1) ผู้มีคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน (ประเภททั่วไป)
2) ผู้ที่ดำรง หรือเคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง หรืออธิบดี หรือเทียบเท่า
3) ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทน หรือสมาชิกพฤฒสภา หรือดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี
4) ผู้สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
และยังกำหนดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญกำหนดขึ้น เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 จากนั้นดำเนินการเปิดการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต โดยที่ประชุมมีมติเลือกเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จสิ้น เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2491 และเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาตามวิธีการที่รัฐธรรมนูญกำหนด ที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2492 เสนอโปรดเกล้าและประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492
3.2.3.2 การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511
การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 2 จัดตั้งขึ้นตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 โดยรัฐธรรมนูญดังกล่าวกำหนดให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจำนวน 240 คน ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญและให้มีฐานะเป็นรัฐสภาทำหน้าที่นิติบัญญัติอีกด้วย โดยมีประกาศแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 และเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม มี พลเอกสุทธิ์ สุทธิสารรณกร ได้รับเลือกจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ยังทำหน้าที่ในการคัดเลือกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าวนอกจากอำนาจหน้าที่ที่กล่าวมาแล้วยังมีอำนาจในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ตนเองจัดทำขึ้นอีกด้วย แต่ไม่มีอำนาจในการควบคุมบริหารราชการแผ่นดิน นับได้ว่าเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้เวลายาวนานถึง 9 ปี 4 เดือน (3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ถึง 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511) ในระหว่างนั้นมีการเลือกตำแหน่งประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญคนใหม่ คือ นายทวี บุณยเกตุ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 เนื่องจากการอสัญกรรมของประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญคนเดิม สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 แล้วเสร็จประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511
ข้อสังเกต สภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 ผู้เขียนเห็นว่ายังห่างไกลจากความหมายที่แท้จริงของสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่อย่างใดจากกลุ่มบุคคลที่ปฏิวัติรัฐประหาร
3.2.3.3 การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 3 จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 โดยมีหลักการและอำนาจหน้าที่สำคัญดังนี้ สภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน (ขณะนั้นประเทศไทยมี 76 จังหวัด) รวมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ จำนวน 23 คน เป็น 99 คน มีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ กำหนดให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลา 240 วัน นับแต่วันที่มีสมาชิกครบจำนวน ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนในการทำหน้าที่เป็นสำคัญ และให้สภาร่างรัฐธรรมนูญกำหนดพื้นฐานอันนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองโดยปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองขึ้นใหม่ให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ยังคงรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ตลอดไป รัฐสภาดำเนินการคัดเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จังหวัดละ 1 คน (จากประชาชนที่สนใจสมัครและคัดเลือกกันเองแล้วจนเหลือเป็นผู้แทนจังหวัดละ 10 คน) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2539 และในการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่หนึ่งที่ประชุมมีมติเลือกนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นทั้งฉบับ ผ่านการลงมติให้ความเห็นชอบ และส่งมอบให้ประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2540 จากนั้นมีการประกาศและบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540
3.2.3.4 การจัดทำรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
การจัดทำรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 สภาร่างรัฐธรรมนูญ ชุดที่ 4 จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 จากเหตุการณ์การยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวแทนฉบับเดิม โดยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มีสมัชชาแห่งชาติ พ.ศ. 2549 โดยมีจำนวนสมาชิกที่มาจากการสรรหาจากทุกภาคส่วน จำนวนทั้งสิ้น 1,982 คน จากนั้นให้ลงมติคัดเลือกกันเอง เหลือ 200 คน แล้วให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ทำการคัดเลือกเหลือ 100 คน เพื่อไปเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิอีก 10 คน ทำหน้าที่ร่วมเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการร่างรัฐธรรมนูญและต้องเสนอความเห็นพร้อมกับเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทางการเมืองการปกครองที่กำหนดให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการออกเสียงลงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบ / ไม่เห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้เปิดประชุมสภาครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2550 และมีมติเลือก นายนรนิติ เศรษฐบุตร เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จ และจัดให้มีการลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 โดยผลการลงประชามติปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบ 14,727,306 คน (คิดเป็นร้อยละ 57.81) มากกว่าคะแนนเสียงที่ไม่เห็นชอบ ซึ่งมีคะแนนเสียง 10,747,441 คน (คิดเป็นร้อยละ 42.19) จากนั้นจึงประกาศและบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 รัฐธรรมนูญไทย ฉบับที่ 19 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ... - YouTube 的推薦與評價
ผลิตโดย Thai PBS สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ม.1-6 มาตราฐาน ส 2.2 ส 4.2 รัฐธรรมนูญ ไทย ฉบับที่ 19 ซึ่งเป็น ฉบับ ปัจจุบัน บัญญัติให้ใช้มาตรา 44 ที่ ให้อำนาจหัวหน้าคณะ คสช ... ... <看更多>
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 22 在 “สภาแต่งตั้ง” เล่นใหญ่เพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ และขยาย ... 的推薦與評價
แก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ตามที่ “ข้อสังเกตพระราชทาน” . ภายหลัง ... (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สองเดือนหลังจากนั้น 22 กรกฎาคม 2557 ก็มีการ ... ... <看更多>