รู้จัก ฝรั่งเศส ผ่าน 10 บริษัท ที่ใหญ่สุดในประเทศ /โดย ลงทุนแมน
เมื่อเอ่ยถึง ฝรั่งเศส สิ่งแรกที่คนทั่วโลกจะนึกถึงก็คือ “ความหรูหรา”
วงการศิลปะแทบทุกแขนงของยุโรปล้วนมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส
และผู้คนที่นี่ก็คลั่งไคล้ศิลปะมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม วรรณกรรม เครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่อาหารการกิน
ในยุคก่อนที่วัฒนธรรมอเมริกันจะครองโลก ฝรั่งเศสคือผู้ส่งออกวัฒนธรรมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด
และแน่นอนว่าวัฒนธรรม ก็ยังคงสร้างมูลค่าให้ฝรั่งเศสอย่างมหาศาลในปัจจุบัน..
10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดของประเทศฝรั่งเศส เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรูถึง 6 บริษัท
ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องดื่ม เครื่องประดับ และเครื่องสำอาง
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นอกจากบริษัทแบรนด์หรูทั้งหลายแล้ว
ก็ยังมีบริษัทยา และบริษัทเทคโนโลยีอยู่ใน Top 10 ด้วย
เรื่องราว 10 บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ราชสำนักฝรั่งเศสคือจุดเริ่มต้นของความหรูหรา
ศตวรรษที่ 15 พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิชี เป็นผู้ริเริ่มอุตสาหกรรมน้ำหอมในฝรั่งเศส
ศตวรรษที่ 16 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ริเริ่มนำวิกมาสวมศีรษะ และใส่รองเท้าส้นสูง
และศตวรรษที่ 19 จักรพรรดินีเออเฌนี เป็นผู้ผลักดันให้เกิดโรงเรียนสอนการออกแบบ และผลักดันให้เกิดแบรนด์แฟชั่นชั้นนำมากมาย
ถึงแม้ราชสำนักฝรั่งเศสจะต้องประสบกับการปฏิวัติหลายต่อหลายครั้ง แต่ความหรูหราที่ได้ทิ้งไว้ก็ยังถูกนำมาสานต่อ และผ่านการพัฒนาอย่างเป็นระบบ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องแต่งกาย ที่มีการจัดตั้งสถาบันสอนออกแบบ ให้กำเนิดการเดินแฟชั่นโชว์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
ดึงดูดนักออกแบบเสื้อผ้าจากทั่วฝรั่งเศสและทั่วโลกให้เข้ามาแสดงฝีไม้ลายมือ จนทำให้กรุงปารีสกลายเป็นเมืองศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลก
การวางแผนอย่างเป็นระบบระเบียบนี้เอง ส่งผลให้วิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสกลายเป็น Story และนำมาสู่การสร้างแบรนด์ที่เป็นตำนานระดับโลก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หาก 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรูถึง 6 บริษัท
ซึ่งหลายบริษัทเกิดจากการควบรวมหลายแบรนด์เข้าไว้ด้วยกัน
หากเรียงตามลำดับอายุที่ก่อตั้ง จะได้เป็น..
- LVMH
ถึงแม้บริษัทนี้จะเกิดจากการควบรวมบริษัทในปี 1987 แต่ประวัติของแต่ละบริษัทที่อยู่ในเครือถูกย้อนไปไกลกว่านั้น
Moët & Chandon เป็นผู้ผลิตแชมเปญ ก่อตั้งในปี 1743
Hennessy ผู้ผลิตบรั่นดีคอนญัก ก่อตั้งในปี 1765
และ Louis Vuitton ผู้ผลิตกระเป๋าเดินทางแบบทรงเหลี่ยม ในปี 1854 เพื่อให้ชนชั้นสูงวางบนรถม้าได้อย่างสะดวกสบาย ก่อนจะกลายเป็นตำนานของกระเป๋าในเวลาต่อมา
ทั้ง 3 บริษัทได้ควบรวมกันในปี 1987 แต่หลังจากนั้น 2 ปีก็เกิดสงครามแย่งกิจการ จนท้ายที่สุดก็ได้ Bernard Arnault บุคคลภายนอก เข้ามามีอำนาจในการบริหาร LVMH นับตั้งแต่นั้นมา
Arnault ได้ขยายอาณาจักร LVMH ด้วยการเข้าครอบครองกิจการแบรนด์หรูชื่อดังอย่างต่อเนื่อง
ทั้งเครื่องแต่งกาย ไวน์ นาฬิกา จน LVMH ครอบครองแบรนด์หรู กว่า 75 แบรนด์
ปัจจุบัน LVMH กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์หรูที่ใหญ่สุดในโลก และถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในฝรั่งเศสและยุโรป ด้วยมูลค่า 13.5 ล้านล้านบาท
- Hermès
กิจการนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1837 โดย Thierry Hermès
แรกเริ่มบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอานม้าสำหรับชนชั้นสูง ต่อมาลูกชายก็ได้ขยายธุรกิจ และให้กำเนิดกระเป๋าเพื่อแบกสัมภาระไปกับการเดินทางบนหลังม้า จนกลายเป็นกระเป๋าที่มีรูปแบบเอกลักษณ์ และขยายไปสู่เครื่องแต่งกายต่าง ๆ
ปัจจุบัน Hermès เป็นแบรนด์หรูที่ไม่ได้ควบรวมกับแบรนด์อื่น ๆ
ซึ่งถึงแม้จะเป็นแบรนด์เดี่ยว แต่มูลค่าของ Hermès ก็สูงถึง 5.3 ล้านล้านบาท
- EssilorLuxottica
สมาคมช่างทำแว่นตาแห่งปารีส หรือ Société des Lunetiers (SL) หรือ Essel ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 1849 ให้เป็นศูนย์รวมของช่างฝีมือ เพื่อพัฒนากระบวนการทำแว่นตา ทั้งกรอบแว่นและเลนส์แว่นตา
ต่อมา Essel ได้ควบรวมกับบริษัททำเลนส์ Silor กลายเป็น Essilor
และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายเลนส์สายตา โดยเฉพาะกลุ่มเลนส์ตระกูล Varilux และล่าสุดได้ควบรวมกับบริษัท Luxottica บริษัทผลิตกรอบแว่นตาที่ใหญ่สุดในโลกของอิตาลี
ทำให้บริษัทนี้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเรื่องแว่นตาของโลก ที่ครอบคลุมตั้งแต่เลนส์ ไปจนถึงแว่นตา
และมีมูลค่าตลาด 2.6 ล้านล้านบาท
- Kering
เช่นเดียวกับ LVMH ถึงแม้ Kering จะก่อตั้งในปี 1963 แต่ประวัติของแต่ละบริษัทที่อยู่ในเครือถูกย้อนไปไกลกว่านั้น
บริษัทที่เก่าแก่ที่สุดในเครือ ก็คือ Boucheron แบรนด์เครื่องประดับสุดหรูของฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1858 และเป็นที่โปรดปรานอย่างมากของชนชั้นสูงในยุคนั้น
Kering ยังเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับชั้นนำอีกมากมาย
ทั้ง Yves Saint Laurent ของฝรั่งเศส และของประเทศอื่น ๆ เช่น Gucci และ Bottega Veneta ของอิตาลี
ด้วยความที่มีแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย มูลค่าบริษัทของ Kering จึงสูงถึง 3.7 ล้านล้านบาท
- L'Oréal
ก่อตั้งในปี 1909 โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ Eugène Schueller ได้คิดค้นน้ำยาย้อมสีผม แล้วได้รับเสียงตอบรับจากช่างทำผมในเมืองปารีสเป็นอย่างมาก
จนทำให้เขาตั้งเป็นบริษัท Société Française de Teintures Inoffensives pour Cheveux ขึ้นมา และต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น L'Oréal
แต่หลังจากที่ Eugène Schueller เสียชีวิต แล้ว François Dalle ได้เข้ามาบริหารงานแทน
Dalle ก็ได้ขยายตลาดด้วยการซื้อบริษัทเครื่องสำอางแบรนด์อื่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเจาะกลุ่มตลาดใหม่ และเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า
หลังจากนั้น L'Oréal ก็ซื้อบริษัทอื่นเข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เวชสำอาง เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ
จนในที่สุด L'Oréal ก็กลายเป็นบริษัทเครื่องสำอางที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 8.4 ล้านล้านบาท
- Dior
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Christian Dior ดีไซเนอร์อิสระ ได้รับจ้างออกแบบหมวกให้กับแวดวงไฮโซ ที่ผ่านชีวิตล้มลุกคลุกคลานจนได้เปิดห้องเสื้อของตัวเองในปี 1946
เขาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการแฟชั่นของปารีส ด้วยคอลเลกชันแรก ที่มีชื่อว่า “New Look” เป็นชุดเข้ารูป และกระโปรงสุ่มบาน ก่อนจะขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่น้ำหอม “Miss Dior” อันโด่งดัง
หลังจากนั้นแบรนด์ Dior ก็ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน จนท้ายที่สุดก็ได้มาอยู่ภายใต้การบริหารของ Bernard Arnault แห่ง LVMH ในปี 1984
Dior ก็เติบโตจนเป็นอาณาจักรแฟชั่นที่มียอดขายหลักล้านล้านบาท และมีมูลค่าตลาด 4.8 ล้านล้านบาท..
แต่ฝรั่งเศสไม่ได้มีแค่แบรนด์หรูเท่านั้น..
นอกจากทั้ง 6 บริษัทแบรนด์หรูที่กล่าวมาข้างต้น บริษัท Top 10 ของฝรั่งเศสยังประกอบไปด้วย
- อุตสาหกรรมไฟฟ้า 1 บริษัท
- ยารักษาโรค 1 บริษัท
- ก๊าซ 1 บริษัท
- และพลังงาน 1 บริษัท
และเช่นเดียวกับแบรนด์หรู หากเรียงลำดับอายุของการก่อตั้ง จะเริ่มต้นจาก..
- Schneider Electric
ในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ถึงแม้อุตสาหกรรมในฝรั่งเศสจะไม่ได้โดดเด่นเท่าอังกฤษหรือเยอรมนีในยุคเดียวกัน แต่องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศสก็ไม่น้อยหน้าใคร
นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Pierre-Émile Martin เป็นผู้พัฒนาเตากระทะ หรือ Open Hearth Furnace เพื่อใช้สำหรับหลอมเหล็กกล้าซึ่งต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก
2 พี่น้องครอบครัว Schneider เดินทางจากเมืองบ้านเกิดที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเยอรมนี มาลงทุนสร้างเตาหลอมเหล็กในเมือง Le Creusot ในปี 1836 จนกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและเครื่องจักร
ไม่นานก็ได้ขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมก่อสร้างและไฟฟ้า
ปัจจุบัน Schneider Electric คือผู้นำในอุตสาหกรรมไฟฟ้า ระบบอัตโนมัติ การควบคุมอาคาร และการบริหารจัดการพลังงานระดับโลก มีมูลค่าบริษัท 3.3 ล้านล้านบาท
- Sanofi
ปี 2020 ฝรั่งเศสส่งออกยารักษาโรค มากเป็นอันดับ 4 ของโลก คิดเป็นมูลค่ากว่า 9.3 แสนล้านบาท
หนึ่งในจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมยาในฝรั่งเศส มาจากห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ที่คนทั้งโลกจะต้องคุ้นเคยกับชื่อของเขา คือ Louis Pasteur ผู้ให้กำเนิดกระบวนการพาสเจอไรซ์ หรือการใช้ความร้อนฆ่าเชื้อโรค
Louis Pasteur เป็นผู้วิจัยและพัฒนาวัคซีนพิษสุนัขบ้า และผู้ก่อตั้ง Pasteur Institute สถาบันวิจัยด้านวัคซีนในปี 1887
จนในปี 1974 Pastuer Production ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงงานผลิตวัคซีน และได้ถูกควบรวมเข้ากับบริษัทยาอีกหลายแห่ง จนท้ายที่สุดก็อยู่ภายใต้บริษัทยา Aventis
ต่อมาในปี 2004 Aventis ก็ได้ควบรวมกับบริษัท Sanofi และทำให้ Sanofi กลายเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งยารักษาโรคเรื้อรัง ยารักษาโรคมะเร็ง วัคซีน
รวมถึงวัคซีนโควิด 19 ที่กำลังทำการวิจัยอยู่ในระยะที่ 3 ด้วย
ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย Sanofi จึงมีมูลค่าตลาดมากถึง 4.3 ล้านล้านบาท
- Air Liquide
Georges Claude วิศวกรชาวฝรั่งเศส ได้พัฒนากระบวนการทำให้อากาศกลายเป็นของเหลว เพื่อแยกส่วนประกอบสำคัญในอากาศ คือก๊าซไนโตรเจน และก๊าซออกซิเจนออกจากกัน
กระบวนการนี้ทำให้ได้ก๊าซบริสุทธิ์ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ก๊าซไนโตรเจน ใช้สำหรับการถนอมอาหาร อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี
ในขณะที่ก๊าซออกซิเจน นอกจากจะใช้ทางการแพทย์แล้ว ยังสำคัญในอุตสาหกรรมเหล็กและกระจกอีกด้วย
ความสำเร็จนี้ทำให้ Georges Claude ได้ก่อตั้งบริษัท Air Liquide ในปี 1902
ปัจจุบัน Air Liquide ให้บริการแก๊สสำหรับอุตสาหกรรมและทางการแพทย์ เคมี และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีมูลค่าบริษัทกว่า 2.8 ล้านล้านบาท
- TotalEnergies
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพฝรั่งเศสประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก จนต้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งในเวลานั้น อุตสาหกรรมน้ำมันในสหรัฐอเมริกาครองสัดส่วนกว่า 70% ของโลก
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้มอบหมายให้ Ernest Mercier จัดตั้งบริษัทปิโตรเลียมแห่งฝรั่งเศส (CFP) ในปี 1924 เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของฝรั่งเศสเอง
ในปัจจุบัน CFP ได้เปลี่ยนชื่อเป็น TotalEnergies เป็นบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส
เป็นผู้ผลิตน้ำมันเครื่อง และผลิตภัณฑ์หล่อลื่นทั้งกับยานยนต์และอุตสาหกรรม
มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.9 ล้านล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส
ทุกบริษัทล้วนมีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งเป็นมูลค่าที่ใหญ่กว่าบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศไทย อย่างบริษัท ปตท.
หลายคนอาจคิดว่า แบรนด์ฝรั่งเศส สร้างเพียงแค่ Story ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถส่งออกไปขายได้ทั่วโลก
แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ วิจัยและพัฒนาต่อยอดอย่างเป็นระบบ
และผ่านการบริหารกิจการ โดยเฉพาะการควบรวมแบรนด์ ที่ทำให้การบริหารมีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าได้มากขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ประเทศฝรั่งเศสไม่ได้เชี่ยวชาญแต่แวดวงศิลปะเท่านั้น
เพราะการพัฒนาศิลปะจะเติบโตได้ ส่วนหนึ่งจะต้องเกิดจากการพัฒนาองค์ความรู้ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไป โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จากการสังเกตบริษัทชั้นนำ 10 บริษัทของแต่ละประเทศ เราก็สามารถบอกได้คร่าว ๆ ว่าประเทศเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านไหน และให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอะไรในอนาคต
สำหรับฝรั่งเศส คงบอกได้ว่า
ประเทศนี้สามารถนำโลกแห่งศิลปะ กับวิทยาศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนอยู่คนละขั้วกัน
มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://companiesmarketcap.com/france/largest-companies-in-france-by-market-cap/
-https://www.essilor.co.th/about-essilor
-https://www.vogue.co.uk/article/christian-dior
-https://www.airliquide.com/shareholders/stock-share/focus-on/air-liquide-118-years-history-individual-shareholders
-https://www.se.com/th/en/about-us/company-profile/history/schneider-electric-history.jsp
-https://www.worldstopexports.com/drugs-medicine-exports-country/
-https://www.sanofi.com/en/about-us/through-time
-https://totalenergies.com/group/identity/history
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過6萬的網紅錄低香港 DocHK,也在其Youtube影片中提到,思浩大談LVMH集團變招,名牌香水變消毒洗手液!(大家真瘋show 2020) #大家真瘋show #LV #思浩...
lvmh stock 在 Facebook 的最讚貼文
FASHION - IT'S ABOUT BUSINESS.
(As always...)
Luôn luôn là kinh doanh, luôn luôn là như vậy. Thời trang hay bất kì thứ gì khác khi đã mang mác "Business" thì tất cả hoạt động, trạng thái, chiến lược sử dụng người - từ nhà thiết kế thời trang đến các đại sứ thương hiệu đều có một mục đích rõ ràng và tiên quyết. "Đó là làm sao kiếm được nhiều tiền nhất về cho thương hiệu. Hoặc tối thiểu nhất đó là sinh lời để tồn tại trong thế giới cạnh tranh khốc liệt này". Đối với những tập đoàn thời trang lớn, tiền là một chuyện nhưng đó còn là bộ mặt, là hình ảnh và là sự "thao túng vô hình" đối với nền công nghiệp này.
Louis Vuitton - đã thể hiện mình luôn là con sói đầu đàn trong công việc kinh doanh thời trang. Sự chuyển giao thế hệ - giữa Millienials (hay được biết tới cái tên Gen Y) cho tới Generation Z đã tạo ra một sự thay đổi lớn về nhận thức và cách mua sản phẩm thời trang. Đứng đằng sau LV là những con cá mập, những cái đầu sạn đúng nghĩa để chấp nhận thay đổi, chấp nhận gạt bỏ những sự rủi ro mà ai cũng nghĩ được để đạt được mục đích lớn hơn. Và kết quả là gì - hẳn ai cũng biết, LV luôn đứng trong top 10 những thương hiệu thời trang có tầm ảnh hưởng bậc nhất trong thập niên vừa rồi.
Năm 2017, khi thế giới thời trang đang bắt đầu chuyển mình và cơn bão đường phố bắt đầu xoáy mạnh. Louis Vuitton đã chấp nhận việc rủ bỏ cái sự tự tôn thường thấy của một thương hiệu thời trang cao cấp (dành cho người giàu) để hợp tác cùng với một thương hiệu thời trang đường phố non choẹt (thành lập vào năm 1994 - so với năm 1854 của LV), cái tên thánh của biết bao nhiêu người lúc đó "Supreme". Một quả bomb được tạo ra và hiệu ứng của nó đã thay đổi ít nhiều về nền công nghiệp thời trang. Louis Vuitton đã bắt đầu chiến dịch của mình ngay tại thời điểm đó, một Louis Vuitton không còn già nua với những món đồ phụ kiện bằng da mà chỉ những người phụ nữ trung lưu hay xài. Một Louis Vuitton tiên phong.
Và cũng chính Louis Vuitton, căn nhà thời trang quyền lực của những kẻ da trắng - những kẻ quyền lực - lại mở cửa đón nhận một người da màu về làm nhà thiết kế nam cho họ. Một cái tên khác, một cái tên luôn hot trong cộng đồng thời trang lúc đó. Một gã "trộm" vĩ đại nhất của thế giới thời trang tính trong vòng 10 năm trở lại đây - Virgil Abloh. Virgil không phải là fashion designer vĩ đại nhất, không phải là người có kĩ năng tốt nhất. Nhưng Virgil có độ quái nhất định và hiểu được insight của thị trường trẻ - thứ mà Louis Vuitton cần nhất. LV đủ khả năng và tiền bạc để mời những cái tên đầu ngành, những cái tên khét tiếng hơn nhưng với cái tôi của họ - không phải là thích hợp cho 1 thế hệ mới, đặc biệt là thị trường màu mỡ bậc nhất "Trung Quốc". Châu Á không phải là Châu Âu, và đa phần các thương hiệu xa xỉ được yêu thích ở đây là bởi vì giá trị thương hiệu. Virgil lại quá hiểu điều đó đi chứ.
Bên cạnh đó, Virgil Abloh lại còn là cánh cửa màu đen cho việc tiếp cận những cái tên da màu đầy tiềm lực khác cho tương lai sau này. Đó không phải dành cho LV mà là những thương hiệu khác nằm trong tập đoàn LVMH đầy quyền lực. Dior với Travis Scott chăng? Hmm. LV cũng rất ưu ái cho thị trường Trung Quốc nói riêng và Châu Á nói chung, những show diễn tại Thượng Hải, những người mẫu Trung Quốc - những người mẫu Châu Á, kể cả việc sử dụng các celebs Kpop đều nằm trong sự tính toán. Các bạn nên nhớ Mino được Virgil gửi lời mời cho runway của mình, và mới gần đây - là boyband nổi tiếng bậc nhất và thành công nhất thời điểm hiện tại. BTS.
"It isn't about fashion. It's about Business".
BTS với fandom hùng hậu của mình, chí ít sẽ thực hiện chu kỳ thần tượng tại nền công nghiệp giải trí này ít nhất là khoảng 5 - 10 năm nữa. Các chàng trai đến từ Hàn Quốc tính ra không phải là một "Thử thách" hay "Canh bạc" gì đối với cả Louis Vuitton hay Virgil Abloh. Đó là phương thức, là công cụ để Louis Vuitton tiếp tục thể hiện tầm ảnh hưởng của mình trong một chiến lược kinh doanh dài hạn của mình. Dẫu rằng có rất nhiều ý kiến trái chiều về thời trang của các thành viên BTS, nhưng có sao đâu. Quan trọng là sự ảnh hưởng và những gì mà BTS có thể mang lại cho LV. Bạn là một model khét tiếng với bao nhiêu năm kinh nghiệm - Bạn là một người nổi tiếng và thị trường đại chúng biết tới bạn? Trong kinh doanh tôi sẽ chọn phương án thứ 2.
Có vẻ công thức áp dụng với Supreme, với Virgil đã được áp dụng tiếp theo với BTS. Louis Vuitton không đơn thuần là một thương hiệu thời trang nữa, thể chế này đang vận hành như 1 tập đoàn kinh doanh dựa trên thời trang nhiều hơn.
"CÁI GÌ KHÔNG MUA ĐƯỢC BẰNG TIỀN, CÓ THỂ MUA ĐƯỢC BẰNG RẤT NHIỀU TIỀN'
Sự nghi vấn về Off-white và câu chuyện của Virgil Abloh đã được mình ngờ ngợ từ những năm mà Virgil đầu quân cho Louis Vuitton. Case trước mắt chính là Demna Gvasalia và Vetements/Balenciaga, và giờ đây - Virgil Abloh đã chính thức bán lại đứa con ruột của mình là Off-white cho nhà LVMH. Sở hữu tới tận 60% cổ phần của Off-white, LVMH không khác gì sở hữu một nhánh thương hiệu thời trang "con" với phân khúc "high-end streetwear" trước đó của Virgil Abloh. 40% còn lại của Virgil - nghe có vẻ nhiều nhưng chẳng đáng là bao nhiêu. Với số cổ phần đó, Virgil không còn nắm quyền quyết định tất cả mọi thứ trong tay với Off-white. Một hình thức "buông bỏ" nhưng không "cạn tình cạn nghĩa" với đứa con đã cho mình rất nhiều thứ. Cũng dễ dàng nhận thấy khi mà chính kẻ đã được thời trang đường phố đưa lên nói 1 câu rằng: "Streetwear's going to die" lại bắt đầu chuyển Off-white sang hướng Haute Couture ngay tại thời điểm đó. Có vẻ Virgil đã tính ngay từ thời điểm đó rồi, các collection gần đây - mang hơi hướng của LV rất nhiều. Chỉ là cái label là "Off-white".
Bản hợp đồng " 60-40" này giống như là sự gắn kết bền chặt hơn giữa Louis Vuitton và Virgil Abloh. Bên cạnh đó cũng là 1 phương pháp back-up plan/plan B của Virgil trong các trường hợp xấu xảy ra, khi mà những giấc mơ đẹp không còn diễn ra nữa. Công tác kinh doanh được vận hành ở mức cao.
VÀ VIÊC NÀY ĐÃ ĐƯỢC TIÊN ĐOÁN TRƯỚC...
Offwhite đã thành chuẩn mực của một cơ số người về “Thế nào là để bước chân vào ngưỡng cửa Streetwear và được công nhận là fashionicon bởi người khác” “Chỉ cần mặc Offwhite, quấn quanh bụng industry belt của OW và đi một đôi giày Hypebeast gì đấy – thế là Fashion Icon”.
Có vẻ - Virgil đã mệt mỏi vì quá ôm đồm nhiều công việc mà “không quan tâm” săn sóc đứa con mang lại cho mình sự nổi tiếng Offwhite. Trong runway mùa Xuân Hạ 2020, người ta đã không thấy hình ảnh của Virgil trong show Offwhite SS20. Có vẻ như – Virgil đang cố gắng muốn tách “Offwhite” ra khỏi cái bóng quá lớn của nó với đường phố - bằng việc ra mắt những sản phẩm mang âm hưởng của thập niên 90s và thị phần khách hàng cao hơn. Phức tạp hơn.
Nhưng tại sao Virgil lại vắng mặt trong một sự kiện thường niên và quan trọng này – dù bất kì ai trong chúng ta đều hiểu một vấn đề rằng, Virgil Abloh chính là bộ mặt của thương hiệu Offwhite. Mỗi nơi anh ta xuất hiện, dư luận đều nhắm tới, các bài viết đều chĩa dùi vào và fans sẽ sốt sắng hết cả lên – Virgil xuất hiện, chí ít về truyền thông cũng xôm hơn và kéo theo nhiều người biết món đồ và mua hơn. Nhưng không? Virgil không xuất hiện với lí do “Stress” và cần sự trợ giúp của bác sĩ. Đúng vậy – như Virgil, tương lai của Offwhite trong thời gian sắp tới cũng cần dự đoán bởi Bác sĩ vì nó đang gặp một số điểm mù.
Dễ lên thì cũng dễ xuống, Offwhite được định vị là một thương hiệu highend fashion, nhưng những sản phẩm bán chạy nhất – lại tập trung ở những chiếc tee, vớ và phụ kiện kèm theo. Còn mainline lại không được ưa chuộng nhiều lắm. Nếu – một chữ nếu – Virgil chỉ đảm nhận là Chairman (Chủ tịch) của Offwhite còn buông Offwhite và nhắm thẳng vào thị trường tầm trung (như cái cách người ta nghĩ Offwhite như vậy) thì sao. Hay đây là 1 điểm lặng của Offwhite để Virgil nhắm tới tầng lớp khách hàng cao hơn? Có vẻ như là không.
Theo số liệu thống kê của BoF vào năm 2020, Nhu cầu thực tế của các sản phẩm Offwhite tính trên thị trường Mỹ đã chậm lại so với cùng kì năm trước đó. Ngay trên kênh bán hàng mạng nổi tiếng Farfetch – Offwhite bán chậm hơn tới 50% so với năm ngoái và số lượng hàng giảm giá – sales tăng lên 7% (nghĩa là không ai mua nên phải sales đó). Trong midyear clearance stock (Đợt dọn kho giữa năm) – 40% trên tổng số lượng hàng của Offwhite trên FF đã được giảm giá, tăng đột biến lên 30% so với cùng kỳ năm trước.
Còn về truyền thông thì sao, Offwhite đã không còn là một cái tên quá hot, giá trị của thương hiệu trên các phương tiện truyền thông và mạng xã hội đã giảm tới 38% so với cùng kỳ năm trước.
Và giờ đây - "Offwhite" đã là người nhà của LVMH.
Ủng hộ cho Bi tại:
Paypal: https://www.paypal.me/triminhle0808
Banking account: Vietinbank
STK: 104005424124 - Chủ tài khoản: Lê Minh Trí.
momo: https://nhantien.momo.vn/triminhle
lvmh stock 在 綠角財經筆記 Facebook 的精選貼文
Vanguard富時全球股市美國除外ETF,英文全名 Vanguard FTSE All-World ex-US ETF ,美股代號VEU,2007年三月2日成立。
VEU追蹤FTSE All-World ex-US Index。該指數包含全球50個國家,共3428支股票。投資範圍是美國以外的已開發與新興市場。
VEU投資組合中,北美:歐洲:亞太:新興市場的比率約為6:40:28:26。
VEU需要跟VXUS進行比較。因為兩者都是投資美國以外的全球已開發市場與新興市場,投資全球四大地區的比重也相當近似。
VEU和VXUS主要差別,在於對中小型類股的涵蓋程度。
VEU追蹤的指數有3428支成份股。VXUS追蹤的指數則有7554支成份股。VXUS較多的成分股數目,使其對中小型類股有較完整的覆蓋。
持股的市值中位數(Median Market Cap),VXUS是330億美金,VEU是410億美金。VXUS持有的中小型股較多,所以市值中位數較小。
VEU跟VXUS一樣,可以與專門投資美國股市的Vanguard Total Stock Market ETF(美股代號:VTI)搭配,形成全球股市投資組合。
VEU內扣總開銷是0.08%,與2020相同。
VEU的前十大持股如下:
Taiwan Semiconductor Manufacturing (台積電)
Tencent Holdings
Alibaba Group Holdings
Samsung Electronics
Nestle
ASML
Roche
LVMH
Toyota
Novartis
跟2020同期相比,Royal Dutch Shell與Unilever退出前十名,ASML和LVMH進入前十大。前十大持股一年來的變化,跟VXUS相同。
完整討論,可見今天文章:
https://greenhornfinancefootnote.blogspot.com/2021/06/vanguard-ftse-all-world-ex-us-etfveu2021.html
lvmh stock 在 錄低香港 DocHK Youtube 的最讚貼文
思浩大談LVMH集團變招,名牌香水變消毒洗手液!(大家真瘋show 2020)
#大家真瘋show #LV #思浩
lvmh stock 在 LVMH shares hit all-time high as China rebounds - YouTube 的推薦與評價
LVMH, the world's largest luxury company, has reported a 17% rise in first-quarter sales, exceeding analysts' expectations. ... <看更多>